และแล้ว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้นำความกราบบังคมทูลขอรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา และได้มีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะมีการเลือกตั้งทั่วไปและกระบวนการเลือกตั้งอื่นๆ ตามที่ กกต. จะได้กำหนด
ในพลันที่ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็มีข่าวว่าได้มีผู้ไปร้องต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของการทูลเกล้าฯ เสนอให้ตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลกระทบจากพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไม่มากก็น้อย
เหตุผลสำคัญที่ระบุในการกราบบังคมทูลฯ เพื่อตราพระราชกฤษฎีกาคือเพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชนเร็วขึ้น เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากการประชุมรัฐสภาสมัยสุดท้ายได้สิ้นสุดลงแล้ว
การกราบบังคมทูลดังกล่าวจะมีผลจริงว่าทำให้การคืนอำนาจแก่ประชาชนเร็วขึ้นกว่าการปล่อยให้สภาผู้แทนราษฎรหมดวาระไปตามปกติหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันต่อไปว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่เรื่องนี้มีข้อกังขาในหลายมิติหลายด้านเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในทางวิชาการและเพื่อเป็นแบบแผนในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยต่อไป จึงสมควรพิจารณาเรื่องนี้ในเรื่องสำคัญสักครั้งหนึ่ง
ประการแรก การยุบสภาครั้งนี้แตกต่างจากการยุบสภาทุกครั้งนับตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐสภา เพราะที่ผ่านมานั้นเป็นการยุบสภาเพราะมีข้อขัดข้องหรือข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องคืนอำนาจให้แก่ประชาชน มิฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องลาออก แต่ครั้งนี้ไม่มีข้อขัดข้องดังกล่าว เพราะเป็นการยุบสภาในขณะที่ปิดสมัยวาระประชุมรัฐสภาสมัยสุดท้ายแล้ว และเวลาหมดวาระของสภาผู้แทนราษฎรก็เหลืออีก 2 วันเท่านั้น ข้ออ้างว่าเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเร็วขึ้น ซึ่งความจริงคือ 2 วันนั้นจะมีคุณค่าความเป็นจริงอยู่เพียงใด ก็ย่อมพิจารณาไตร่ตรองได้และเข้าใจได้โดยทั่วกัน
ประการที่สอง การทูลเกล้าฯ เสนอตราพระราชกฤษฎีกาครั้งนี้ เฉพาะเท่าที่ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสาธารณะเป็นที่ยุติว่าไม่ได้มีการนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเอง และนำความกราบบังคมทูลฯ ด้วยลำพังตนเอง และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเอง
ในขณะที่หลักรัฐธรรมนูญนั้นเป็นที่รู้ทั่วกันว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านคณะรัฐมนตรี ไม่มีกรณีพิเศษหรือยกเว้นใดๆ ที่จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านทางนายกรัฐมนตรี เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ เช่น ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่กำหนดอำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรีไว้ โดยเฉพาะคือหน้าที่ในการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจผ่านนายกรัฐมนตรี
ทำนองเดียวกันกับการที่นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการสำหรับกรณีที่รัฐสภามีมติให้ทูลเกล้าฯ เสนอตราพระราชบัญญัติ ดังนั้นการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการจึงไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยผ่านนายกรัฐมนตรี
และรัฐธรรมนูญก็มิได้มีบทบัญญัติเป็นพิเศษว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาเป็นเรื่องพิเศษที่นายกรัฐมนตรีสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องผ่านคณะรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญคงบัญญัติไว้ในมาตรา 175 เกี่ยวกับพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ที่ทรงตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และมาตรา 103 ที่บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภา ซึ่งต้องกระทำโดยการตราพระราชกฤษฎีกา และเหตุที่จะยุบสภานั้นจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวสำหรับกรณีเดียวกัน
ซึ่งหมายความว่าการยุบสภาจะต้องมีเหตุอันจำเป็นต้องยุบสภา ไม่สามารถกระทำได้ตามใจชอบหรือตามอำเภอใจ
และเหตุดังกล่าวนั้นในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลายทั่วโลกก็ตรงกันหมดว่าต้องเป็นเหตุความขัดข้องหรือความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา
ดังนั้นปัญหาเรื่องนี้จึงกระทบต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และส่อว่าจะเป็นไปตามบทพระราชปรารภในรัฐธรรมนูญ 2560 ว่ากรณีอาจเป็นการบิดเบือนการใช้อำนาจหรือไม่ ที่สำคัญคือการไปตั้งสมมุติเอาเองว่าการยุบสภาเป็นเรื่องพิเศษ ที่นายกรัฐมนตรีกระทำได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีนัยคือเป็นการใช้อำนาจผ่านนายกรัฐมนตรี
และจะถือเป็นแบบแผนระบอบประชาธิปไตยของประเทศต่อไปหรือไม่ และถ้าทำกันได้แบบนี้ ในอนาคตอาจจะมีผู้ตั้งเรื่องพิเศษแบบนี้ขึ้นมาอีกสักกี่เรื่องก็ได้โดยไม่ต้องอาศัยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ประการที่สาม ผลทางกฎหมายจากการยุบสภา 2566 ที่สำคัญมีดังนี้
(1) ถ้าไม่มีการยุบสภา การเลือกตั้งทั่วไปจะเป็นไปตามที่ กกต. ได้กำหนดแล้วคือวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 แต่เมื่อมีการยุบสภาก็ต้องประกาศกำหนดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งมีคนชี้โพรงให้กระรอกไว้แล้วว่าจะเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และต้องดูว่า กกต. จะเดินตามโพรงที่ชี้ไว้อย่างว่านอนสอนง่ายหรือไม่
(2) ถ้าไม่มีการยุบสภา บรรดาผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งจะต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างช้าที่สุดภายในวันที่
7 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งผ่านพ้นมาแล้ว แต่เมื่อมีการยุบสภาก็จะมีผลตามกฎหมายที่จะขยายเวลาการสมัครดังกล่าวออกไป ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์โดยตรงให้แก่พรรคการเมืองบางพรรคตามที่ได้มีการแถลงเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าการยุบสภาก็เพื่อให้ สส. ได้ย้ายสังกัดพรรค ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่พรรคการเมืองและประชาชนโดยตรง และเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบและไม่เที่ยงธรรมสำหรับบางกลุ่มบางพรรคการเมือง
(3) หลักทั่วไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งตรงกัน คือต้องถือหลักความสุจริต ความเที่ยงธรรม และความรวดเร็ว ซึ่งเป็นหลักการใหญ่ที่ปฏิบัติเหมือนกันทั่วโลก การไม่ปฏิบัติหรือฝ่าฝืนหลักทั้งสามนี้ย่อมเป็นที่มาของข้อครหาและความไม่เชื่อมั่น กระทั่งเป็นที่กล่าวหาของประชาชนว่าเป็นการโกงเลือกตั้ง ดังที่เคยเกิดเหตุวิกฤตทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง กระทั่ง กกต. เองก็เคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว จึงเป็นเรื่องพึงสังวรไว้ให้จงหนัก
(4) การขยายเวลาสังกัดพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งที่มีการประกาศล่วงหน้าและผ่านพ้นมาแล้ว แต่ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์กติกาตามที่ กกต. ได้กำหนดตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายการเลือกตั้ง โดยใช้วิธีการยุบสภาเพื่อไปขยายเวลาเข้าสังกัดพรรคหลังจากพ้นกำหนดของ กกต. แล้ว จึงส่อว่าไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์เพื่อตนและพวกพ้อง ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียกว่าทุจริตและเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ รวมทั้งผิดจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
และเรื่องนี้ก็มีผู้กล่าวหาร้องเรียนแล้ว ซึ่งคงจะไม่ใช่รายแรกและรายเดียว เนื่องจากบรรดาผู้เกี่ยวข้องและผู้เสียหายมีอยู่มากราย ดังนั้น กรณีร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะส่งผลกระทบเพียงใด
ที่สำคัญคือถ้าบังเอิญมีสักคดีหนึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการทูลเกล้าฯ ตราพระราชกฤษฎีกาขัดรัฐธรรมนูญก็ดี หรือกระทำผิดรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมหรือผิดจรรยาบรรณก็ดี ก็จะเกิดผลกระทบต่อการเลือกตั้งในภาพรวมไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
อันว่าอำนาจนั้นเป็นของหวาน เป็นสิ่งที่ติดยึดเหนียวแน่น แต่อำนาจนั้นก็ประหนึ่งไฟประลัยกัลป์ ที่ผู้ถือจำต้องมีธรรมและเคารพธรรม รวมทั้งต้องปฏิบัติธรรม จึงจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าติดยึดในอำนาจโดยขาดธรรม ความร้อนแรงแห่งอำนาจดุจไฟประลัยกัลป์นั้นไม่เพียงแต่จะเผาผลาญผู้ถืออำนาจหรือผู้ติดยึดในอำนาจให้พินาศย่อยยับไปเท่านั้น ยังเผาผลาญชาติบ้านเมืองและราษฎรที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในอำนาจให้เดือดร้อนทุกข์เข็ญตามไปด้วย
ดังนั้นความมัวเมาหลงใหลติดยึดในอำนาจท่านจึงถือว่าเป็นอนันตริยกรรมที่พึงระมัดระวังให้จงหนัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี