เราเห็นนักการเมือง พรรคการเมือง หาเสียงสัญญาว่าจะให้เกลื่อนไปหมด
เกทับ บลัฟแหลก
ตอนนี้ บางพรรคถึงขนาดประกาศแจกเงินครัวเรือนละ 2 หมื่นบาท
แจกเงินให้วัยรุ่นคนหนุ่มสาวเข้ากระเป๋าตังดิจิทัล
แจกเบี้ยสูงวัยเป็นขั้นบันได 3พัน 4พัน 5พันบาท ต่อเดือน
ฯลฯ
เงินส่วนตัวนักการเมืองหรือเปล่า?
ไม่ใช่ เป็นเงินประเทศ!
1. พฤติกรรมข้างต้น ทำราวกับว่าประเทศไทยมีเงินทองออกมาแจกจ่ายประชาชนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ราวกับว่ารัฐบาลพิมพ์แบงก์ได้เอง โดยไม่ต้องจัดเก็บรายได้ เก็บภาษี หรือเพิ่มการกู้ยืมเงินไม่มีขีดจำกัด
จุดเริ่มของจุดจบประเทศสู่หายนะ กรณีศึกษาของหลายๆ ประเทศ ก็คือการเอานโยบายลดแลกแจกแถมมาซื้อเสียง แย่งชิงอำนาจกัน แล้วโกงกิน
เอาเงินส่วนรวม มาประมูลซื้อเสียงผ่านนโยบาย
2. ในการประชุม ครม.ล่าสุด นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามสถานะการเงินการคลังของประเทศ
รับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2565 ปรากฏข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้
ด้านรายได้
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 2,531,656 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.57 จากปีก่อน
มาจากกลุ่มรายได้ที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจสูง กลุ่มรายได้ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลุ่มรายได้จากการค้าระหว่างประเทศขยายตัวจากปีก่อน
อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด -19 (COVID-19)
ทั้งนี้ มุมมองความเสี่ยงด้านรายได้ในปีงบประมาณ 2566 คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน
ด้านรายจ่าย
วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.66 จากปีก่อน ขณะที่รายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 66.72 สาเหตุสำคัญมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ปรับตัวลดลง และการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพันจากการดำเนินนโยบายในอดีต และรายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ ส่งผลรายจ่ายลงทุนลดลงอยู่ที่ร้อยละ 19.74 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ทั้งนี้ แนวโน้มความเสี่ยงด้านรายจ่ายในระยะปานกลางจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2565 จากวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับปกติ
ด้านสภาพคล่อง
ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 624,019 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากการเกินดุลเงินสดของภาคงบประมาณเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ระดับเงินคงคลังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 สะท้อนถึงสภาพคล่องการเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังคงอยู่ในระดับบริหารจัดการได้
ด้านหนี้
ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 10,373,937.59 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 60.41 ต่อ GDP
เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังได้ติดตามสถานการณ์ของกองทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ อาทิ
เงินกองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ในสถานะที่ยังบริหารจัดการได้
ผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปีบัญชี 2565 ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมลดลง โดยสาเหตุสำคัญมาจากรัฐวิสาหกิจกลุ่มไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
ฐานะการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial:SFIs) ภาพรวมยังคงอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ควรติดตามระดับหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จากการด้อยคุณภาพลงของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 และมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่สิ้นสุดลงในปี 2565
ฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ในภาพรวมอยู่ในระดับแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานสากล และคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ 2565 ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการคุณภาพหนี้
ภาคประกันภัย อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 โดยยอดเงินขอรับชำระหนี้อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับจำนวนเงินกองทุนประกันวินาศภัย อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินของกองทุนประกันวินาศภัยเป็นไปในลักษณะของการทยอยจ่าย จึงทำให้กองทุนยังสามารถบริหารจัดการยอดขอรับชำระหนี้ดังกล่าวได้ และเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในวงจำกัด
รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปรับตัวดีขึ้นในปีงบประมาณ 2565 อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ. 2566 ซึ่งจะส่งผลให้ อปท. มีรายได้จากภาษีที่ดินฯ ลดลง
3.การติดตามรายงานความเสี่ยงทางการคลังเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการคลังต่อไป
ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้นโยบายการคลังและงบประมาณ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
ขณะที่การก่อหนี้กว่าร้อยละ 70 ยังเป็นหนี้เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
บางประเทศนำแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลไทยเป็นโมเดลในการพัฒนาประเทศด้วย
4.ขอชื่นชมรัฐบาลปัจจุบัน นำโดยนายกฯ ลุงตู่ ที่มีการติดตามสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศอย่างใกล้ชิด และมีการบริหารที่สามารถพาประเทศผ่านวิกฤตระดับโลกมาได้
โดยที่สถานะการเงินการคลังของประเทศก็ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง (รัฐบาลได้รับการชื่นชมจากนานาชาติ รมว.คลังได้รับการยกย่องระดับโลก)
แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
ถ้าประเทศชาติและประชาชน ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองกระหายอำนาจ
แข่งกันถลุงเงินแผ่นดิน เพื่อหวังได้อำนาจรัฐ
ไม่คำนึงถึง หรือไม่รู้ หรือไม่สนใจถึงความเสี่ยงทางการเงินการคลังของประเทศ
คิดแต่ว่า กูต้องชนะเลือกตั้ง กูต้องได้อำนาจรัฐ
เพื่อกูจะได้อำนาจรัฐ เพื่อผลประโยชน์ของกู ครอบครัวกู
นั่นคือความเสี่ยงหายนะของประเทศไทยครั้งใหญ่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี