คำโกหกอย่างหนึ่งที่แสนคลาสสิกของเหล่านักธุรกิจที่กระโจนลงบ่อโคลนตมการเมืองคือ ผมรวยพอแล้ว ผมไม่โกง ผมจะเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศชาติ เข้ามาช่วยเหลือประชาชน ผมรวยแล้ว ผมไม่โกง
ขอโทษเถอะนะ เลิกโกหกเถอะ เลิกโกหกได้แล้ว หากคิดและตั้งใจช่วยเหลือประชาชนจริงๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองเลย ไม่จำเป็นต้องเป็น สส. ไม่จำเป็นต้องเป็น สว. ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี และไม่จำเป็นต้องเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอให้เป็นคนเท่านั้น แล้วก็ต้องเป็นคนที่คิดและตั้งใจช่วยจริงๆ ไม่ใช่ช่วยแค่ลมปากที่พ่นเพ้อพล่ามไปวันๆ
อันที่จริง หากย้อนไปดูเบื้องหลังความร่ำรวยมหาศาล (บางรายรวยล้นฟ้า แต่เต็มไปด้วยการหมกเม็ด ฉ้อฉล ทุจริต) ของเหล่านักธุรกิจที่ตะกายเข้าไปแสวงหาอำนาจบนเวทีการเมือง แล้วจะรู้ว่าหาได้น้อยรายเหลือเกินที่ร่ำรวยมาโดยสุจริต แต่ถึงแม้พวกเขาจะทุจริตจนร่ำรวย แต่ก็น่าสังเวชตรงที่ระบบกฎหมายไทยไม่สามารถจับทุจริตของคนกลุ่มนี้ได้ สาเหตุหนึ่งที่กฎหมายเล่นงานพวกเขาไม่ได้ เพราะเขาเลี้ยงระบบราชการไทยด้วยการซื้อ จ่ายแล้วครอบงำ จนในที่สุดระบบราชการไทยก็กลายเป็นสมุนเชื่องๆ ของเหล่าพ่อค้าจอมฉ้อฉล
เมื่อเขามีเงินทุนมากพอแล้ว เขาก็สยายปีกบินสูงขึ้นเพื่อแสวงหาอำนาจรัฐ โดยการใช้ทุนเพื่อให้มีอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วเมื่อมีอำนาจรัฐเด็ดขาด เขาก็ใช้อำนาจรัฐนั้นกลับไปแสวงหาทุนที่ใหญ่ขึ้น มหึมาขึ้น ด้วยการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นกลเกมที่ใช้ดูดเงินของแผ่นดินเข้าสู่กระเป๋าของพวกเขาได้ง่าย สะดวก และมากเท่าที่พวกเขาต้องการ
เมืองไทยเคยมีตำรวจรายหนึ่งที่ตะกายขึ้นไปมีอำนาจรัฐสูงสุดมาแล้ว คนที่ติดตามประวัติอันเลวทรามของอดีตตำรวจรายนั้น ต่างทราบดีว่าเขาคนนั้นมีประวัติเน่าเฟะ และฉ้อฉลมากเพียงใดเขาก้าวขึ้นไปเป็นมหาเศรษฐีของไทยด้วยการทำธุรกิจผูกขาด และใช้อำนาจรัฐหนุนส่งให้ธุรกิจผูกขาดฟันกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างน่าขยะแขยง จนวันหนึ่งเขาก็กระเสือกกระสนเข้าสู่เวทีอำนาจรัฐ แล้วเมื่อมีอำนาจรัฐในกำมือ ก็ใช้อำนาจรัฐกอบโกยโกงกินผลประโยชน์ของบ้านเมืองเข้ากระเป๋าตนเอง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลายเป็นสัมภเวสีร่อนเร่ร้องขอส่วนบุญ เพราะไม่ยอมกลับมาติดคุกในประเทศไทย
บัดนี้ สังคมไทยกำลังเห็นเจ้าของธุรกิจขายบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมรายหนึ่งกำลังตะกาย กระเสือกกระสน และทุรนทุรายหมายจะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่ใครก็ตามที่มุ่งหวังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะตำแหน่งนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไรมากนัก เพราะขนาดคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การเมือง ไม่เคยทำงานการเมือง และไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน ก็ยังสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยได้อย่างง่ายดาย เพราะว่ามีนามสกุลเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีรายหนึ่ง ซึ่งอดีตรัฐมนตรีรายนั้นจงใจส่งร่างทรงเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะต้องการให้เข้าไปใช้อำนาจรัฐเพื่อลบล้างบาป และฟอกขาวให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเจ้าของหุ่นชัก
กลับไปพูดถึงอาเสี่ยขายบ้านจัดสรรกับการตะกายหมายจะเป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับเรื่องนี้ คนที่ศึกษาแนวทางการเข้าสูู่อำนาจรัฐของเขาต่างรู้ดีว่า เขามาในทำนองไม่ต่างไปจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ปัจจุบันกำลังมีสภาพเป็นสัมภเวสีหนีคดีอาญา และอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่กำลังหลบหนีคดีอาญา เพราะเขานั้นเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยสภาพที่คล้ายๆ ถูกอุปโลกน์ให้เข้ามาเป็นหุ่นกระบอกที่รับบทเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เมื่อดูจากธุรกิจหลักที่หุ่นกระบอกรายนี้ทำ ก็น่าจะเป็นธุรกิจที่แข่งขันโดยตรงกับธุรกิจของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่กำลังหนีคดีอาญา เพราะเป็นกิจการบ้านจัดสรรเหมือนกัน แต่น่าประหลาดใจตรงที่คนทำธุรกิจเดียวกัน และเคยตกเป็นข่าวที่ถูกโจษจันกล่าวขานอย่างหนักหน่วงในห้วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีหญิงเคยมีอำนาจรัฐ เหตุที่บอกว่าประหลาดและพิสดารคือ ปกติการทำธุรกิจประเภทเดียวกัน มักจะต้องแข่งขันกันอย่างจริงจัง เพื่อให้ธุรกิจของตนเองได้ประโยชน์สูงสุด แต่กลับกลายเป็นว่าคนทำธุรกิจประเภทเดียวกัน ดันจับมือกันเหนียวแน่น จนถูกตั้งคำถามว่าฮั้วกัน หรือสมยอมกันหรือเปล่า
เรื่องราวในอดีตของคนคู่นั้นจะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่ผู้ติดตามเบื้องหลังพอจะเข้าใจได้ แต่ก็ถือเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่มาบัดนี้พ่อค้าขายบ้านจัดสรรกำลังแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วกลอุบายในการจะเข้าไปสู่เป้าหมายของเขาก็คือ แจกเงิน แต่เป็นการแจกเงินที่ดูแล้วมีความพิสดาร และหมกเม็ดมากที่สุด
ถามว่าทำไมพ่อค้าขายบ้านจัดสรรจึงเลือกใช้อุบายแจกเงินคำตอบก็คือ เพราะมันเป็นการชักจูงและมอมเมาคนที่มีสติปัญญาต่ำทรามให้หลงเชื่อได้ง่ายที่สุด การหลอกคนโง่ให้หลงเชื่อได้โดยง่ายก็คือ การอ้างว่าจะให้โน่น ให้นี่ และให้นั่น ให้สารพัดจะให้ แต่ทั้งหมดมันคือคำโกหกจากพ่อค้าขายบ้าน เพราะมันเป็นกลอุบายเดียวกันกับการขายบ้านให้หมดโครงการโดยเร็วที่สุด เพราะใช้อุบายเดียวกันคือ ลด แลก แจก แถม แต่เป็นการกระทำที่ไม่ได้เน้นถึงคุณภาพของสินค้าที่ตนเองจำหน่าย และหลายครั้งคำโกหกว่าจะให้ จะแจก จะแถม ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงแม้แต่ครั้งเดียว โดยอ้างเงื่อนไขประหลาดๆ มาเป็นข้อแก้ตัวให้ไม่ต้องแจกหรือแถมตามคำโกหกที่พูดไปแล้ว
คนรู้ทันต่างวิพากษ์เรื่องพ่อค้าขายบ้านจัดสรรโฆษณาชวนเชื่อว่าจะแจกเงิน ว่าเป็นเรื่องตื้นๆ ที่ใช้หลักจิตวิทยาความโลภของผู้คนมาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนการเมือง พร้อมกับตั้งคำถามกลับว่า พ่อค้าขายบ้านจัดสรรคิดว่าตนเองกำลังขายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อโกยกำไรเข้ากระเป๋าหรืออย่างไร
การแจกเงินเพื่อให้ได้คะแนนการเมือง โดยใช้เงินของแผ่นดินเป็นเครื่องมือ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงมาก เพราะเป็นการผลาญเงินอนาคตของประเทศเพื่อใช้ปูเป็นทางเดินไปสู่การมีอำนาจรัฐ หากพ่อค้าขายบ้านจัดสรรต้องการช่วยคนไทยจริงๆ ทำไมไม่แจกบ้าน หรือลดราคาขายบ้านจัดสรรในโครงการต่างๆ ของตนลง ไม่ต้องลดราคาจนขาดทุนก็ได้ แต่แค่เพียงเอากำไรให้น้อยลงกว่าเดิม แล้วสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้มีคุณภาพดีขึ้นใช้วัสดุที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล แล้วที่สำคัญคือต้องคืนเงินทั้งหมดที่ตนเองเก็บค่าผ่านทางจากประชาชนด้วย และต้องบวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนแล้ว ไม่จำเป็นต้องทุรนทุรายเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี หากไม่หวังจะเข้าไปทุจริตเชิงนโยบายเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังเป็นสัมภเวสีในขณะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี