นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่คำให้สัมภาษณ์ของนายพิธาสะท้อนว่า เจ้าตัวยังไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเลย
ถ้าอ่าน ก็อ่านไม่แตก อ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงพูดถึงกรณีถูกร้องเรื่องถือครองหุ้นสื่อไอทีวี โดยบอกว่า
“แต่เรื่องของหุ้น อย่างมาก อย่างมากที่สุดเลยนะ worst case ของ worst case
ก็คือตัดสิทธิ สส. แต่ยังเป็นนายกฯ ได้อยู่ เป็นรัฐมนตรีได้อยู่” - นายพิธากล่าว
นี่คือสติปัญญาและความรู้ทางกฎหมายของผู้กระสันจะเป็นนายกฯที่ตนเองกำลังเกี่ยวข้องอยู่โดยตรง
1. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้สอนวิชาเบื้องต้นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติไว้ส่วนหนึ่งโดยชัดเจนแล้วว่า “ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้...ไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรี ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ...”
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (3) บัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง ... (6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98”
“มาตรา 98 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ... (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”
นายเรืองไกรอธิบายช้าๆ ชัดๆ ว่า คำพูดของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับตัวบทกฎหมายดังที่ยกขึ้นมาข้างต้น ทั้งที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็น สส. มาแล้วประมาณ 4 ปี ซึ่ง สส. เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย คงฟังไม่ขึ้น ดังนั้น การที่นายพิธาฯ พูดว่า “แต่เรื่องของหุ้น อย่างมาก อย่างมากที่สุดเลยนะ worst case ของ worst case ก็คือตัดสิทธิ สส. แต่ยังเป็นนายกฯได้อยู่ เป็นรัฐมนตรีได้อยู่” นั้น จึงเป็นเหตุต้องขอให้ กกต. ตรวจสอบต่อไป
2. อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ระบุว่า
“.....กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปยื่นคำร้องต่อ กตต. ให้ตรวจสอบว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและเป็นผู้ที่พรรคก้าวไกลเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคว่า เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ขาดคุณสมบัติผู้รับสมัครเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
.....นายพิธาแจ้งแก่บุคคลทั่วไปว่า หุ้นดังกล่าวไม่ใช่ของตนแต่เป็นของกองมรดก ตนเพียงมีฐานะผู้จัดการมรดก
.....ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1711 บัญญัติว่า ผู้จัดการมรดกนั้นรวมตลอดทั้งที่ตั้งโดยพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล
.....ถ้านายพิธาถือหุ้นดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดก นายพิธาก็ต้องมีคำสั่งศาลหรือพินัยกรรมที่ตั้งให้นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งนายพิธาสามารถนำมาแสดงได้
.....ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นของใน บมจ. 006 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ระบุเพียงว่า นายพิธาถือหุ้นจำนวน 42,000 หุ้น ไม่ได้ระบุไว้เลยว่า เป็นของกองมรดกหรือนายพิธาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ซึ่งตามปกติต้องระบุไว้เพื่อให้บุคคลภายนอกได้รับรู้
.....อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 บัญญัติว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
.....เมื่อบิดานายพิธาตายหุ้นทั้งหมดก็ตกทอดแก่ทายาททุกคนรวมทั้งนายพิธาด้วย แม้หุ้นยังไม่ได้จัดการแบ่งให้แก่ทายาท และนายพิธาเป็นผู้จัดการมรดกจริง นายพิธาก็มีกรรมสิทธิ์ในหุ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งในฐานะทายาทของ
ผู้ตายคนหนึ่ง
.....ตามข้อกฎหมายและข้อเท็จดังที่กล่าวมา นายพิธาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นายพิธาไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
.....ประเด็นที่ว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ยังประกอบกิจสื่อมวลชนอยู่ในปัจจุบันหรือไม่นั้น
.....ปรากฏตามข้อมูลของบริษัทว่า ยังดำเนินกิจการอยู่ และได้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 โดยในการประชุมมีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถามในที่ประชุมว่า “บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสื่อหรือไม่”
.....มีคำตอบว่า “ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบนิติบุคคลตามปกติ”
.....ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมฟังได้ว่า นายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนที่ยังดำเนินการอยู่ จึงน่าจะเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3)
.....กรณีของนายพิธาจะนำไปเปรียบเทียบกับคดีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร สส. พรรค ปชป. ไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงต่างกัน เนื่องจากนายชาญชัยถือหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ
เอไอเอส ที่ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชน แต่ เอไอเอสได้ไปลงทุนในบริษัท เทเลอินโฟ มีเดีย จํากัด (มหาชน) และบริษัท เยลโล่ เพจเจส คอมเมอรส์ จํากัด ที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน
....กล่าวคือนายชาญชัยไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนโดยตรง แต่บริษัทที่นายชาญชัยถือหุ้นไปถือหุ้นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน จึงไม่เข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3)
.....แต่กรณีของนายพิธาเป็นการถือหุ้นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนโดยตรงที่มีลักษณะเหมือนกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
.....ถ้านายพิธาเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ก็ไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่บัญญัติว่า รัฐมนตรีต้อง
(8) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98...”
3. น่าสนใจว่า กรณีนี้ หากนายพิธาโดน กกต.ฟันว่าเข้าข่ายถือหุ้นสื่อ นอกจากจะถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้ว (แบบเดียวกับนายธนาธร) ยังจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย
กรณีอาญาของนายพิธา จะเหนื่อยกว่านายธนาธรมาก เพราะนายพิธารับว่ารู้อยู่แล้วว่ามีหุ้นลอตนี้อยู่ในชื่อตนเอง ไม่ใช่หลงลืม ไม่ใช่โอนแล้วไม่ได้แจ้งนายทะเบียน แต่เจตนาไม่โอนออกไปก่อนสมัครสส.
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี