เมื่อวานนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งไทม์ไลน์หลังการเลือกตั้งจนถึงวันที่จะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ให้ที่ประชุมครม.รับทราบ
ระบุว่า หลังจากนี้ต้องรอการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ภายใน 60 วัน หรือต้องประกาศภายในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้
คาดว่า การรายงานตัวของสส.วันสุดท้ายจะอยู่ที่วันที่ 20 กรกฎาคม
หลังจากนั้น จะมีการประชุมเพื่อเลือกประธานสภา ในเบื้องต้น คาดว่า จะเกิดขึ้นวันที่ 25 กรกฎาคมนี้
จากนั้น สัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม (หลังมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานสภาฯ)จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี
สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม คาดว่า จะมีการตั้งคณะรัฐมนตรีได้ และมีการถวายสัตย์
รัฐบาลปัจจุบัน น่าจะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ประมาณกลางเดือนสิงหาคม
ประเด็นที่น่าคิดเพิ่มเติม อาทิ
1. มีความเป็นไปได้ว่า
เมื่อสส.ประชุมเลือกประธานสภาฯ ฝ่ายพรรคเพื่อไทย อาจจะได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะมี สส.ถึง 141 เสียง ตำแหน่งนายกฯ ตกลงตามเอ็มโอยูให้พรรคก้าวไกลไปแล้ว
หลังจากนั้น เมื่อรัฐสภาประชุมเลือกนายกฯ (สส. 313 + สว.) อาจจะได้คะแนนจาก สว.ไม่เพียงพอที่จะได้เสียงเกิน 376
โดย สส.เพื่อไทย ลงคะแนนให้นายพิธา แต่ก็ยังไม่ผ่าน เพราะ สว. ส่วนใหญ่แม้ยึดหลักนายกฯมาจากเสียงข้างมาก แต่ก็ไม่เอานายกฯที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ (จะแก้ 112 แถมประกาศกร้าวว่าถ้าแก้ไม่สำเร็จจะยกเลิก)
แม้การแก้ 112 และนิรโทษกรรมคดี 112 ไม่อยู่ใน MOU ไม่ผูกพันพรรคร่วม แต่ สว.ก็ไม่เอานายกฯที่เป็นผู้นำพรรคแก้ 112 ตามแนวทางที่จะลดโทษ เอาออกจากหมวดความมั่นคง แถมให้เฉพาะสำนักพระราชวังเป็นเจ้าทุกข์ อันหมายถึงลดการคุ้มครองในฐานะสถาบันลง เหลือเพียงกึ่งๆ หน่วยราชการทั่วไปหรือบุคคลทั่วไป
ขณะเดียวกัน คดีหุ้นสื่อไอทีวี กกต. น่าจะส่งศาล รธน. รอดยาก เพราะหลักฐานชัดกว่าหุ้นวี-ลัคฯ เสียอีก ศาลรธน. อาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำตัดสิน (อาจเกิดขึ้นก่อน หรือหลังประชุมเลือกนายกฯ ครั้งแรก)
หากเลือกนายกฯครั้งแรก นายพิธาได้คะแนนไม่ถึง 376 เสียง ก็ใช่ว่าจะปิดทางนายกฯที่มาจากเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร
เพราะพรรคเพื่อไทย ที่มีเสียง 141 สส. ก็จะมีความชอบธรรมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบ้าง โดยน่าจะดึงพรรคการเมืองอื่นๆ เข้าร่วม จนได้เสียงข้างมากเกิน 251 เสียง (ก้าวไกล 152 ถอยออกไป เพราะเคยประกาศ “มีเราไม่มีลุง”)
พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ การเสนอนั้นจะต้องเพิ่มเสียงสนับสนุนจาก สส. และ สว. มากกว่า 376 เสียง
นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากนี้
เพราะฉะนั้น รัฐบาลปัจจุบันจะทำหน้าที่ต่อไปนานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะได้นายกฯคนใหม่มาเมื่อได้ ฟอร์ม ครม.เมื่อใด และ ครม.ชุดใหม่เข้าทำหน้าที่อย่างเป็นทางการเมื่อใด
2. ในช่วงรอยต่อ จะเห็นได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ภายใต้การดูแลของรัฐบาลประยุทธ์ ได้บริหารจัดการดูแลอย่างแข็งแกร่ง สมควรได้รับความชื่นชม
ส่วนเรื่องที่ต่างชาติขายพันธบัตรรัฐบาลไทยต่อเนื่อง หลังเลือกตั้งนั่นสะท้อนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดใหม่โดยตรง ทั้งในแง่ความชัดเจน และความมั่นใจในทิศทาง นโยบายและฝีมือการบริหารของรัฐบาลใหม่
3. การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มต่อเนื่อง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก (มกราคม - มีนาคม) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน มูลค่าเงินลงทุน 185,730 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับคำขอส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 205 โครงการ มูลค่ารวม 154,414 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 83 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งสิ้น
ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป เคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ
นายนฤตม์เปิดเผยว่า ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากสถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย ประเทศผู้ลงทุนหลักกลับมาเปิดประเทศ รวมทั้งมีแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีคำขอเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ที่สำคัญ บีโอไอได้เริ่มประกาศใช้ยุทธศาสตร์ 5 ปี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มีนักลงทุนสนใจขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการ Smart and Sustainable Industry ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการยกระดับและปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกิจการ
ในส่วนการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน 128 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 101,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84
โดยจังหวัดที่มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมสูงสุด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตามลำดับ
สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยและแนวนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ที่น่าห่วง คือ รัฐบาลชุดใหม่จะตรวจสอบ รื้อ เลิก มาตรการส่งเสริมการลงทุน ตามที่นายธนาธรและก้าวไกลหาเสียงไว้ จะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพียงใด รวมถึงนโยบายค่าแรง 450 บาท จะกระทบต้นทุนการผลิต และทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ แค่ไหน เมื่อค่าแรงไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามมากขึ้นทวีคูณ
4. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2566 และแนวโน้ม ปี 2566
ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 2.7
ด้านการใช้จ่าย การส่งออกบริการ และการอุปโภค-บริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์สูง
การลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่การส่งออกสินค้าและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลปรับตัวลดลง
การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 5.4 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า
ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจปี 2566 สำคัญ คือ (1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (2) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภค-บริโภคภายในประเทศ และ (3) การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
คาดว่า การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชน จะขยายตัวร้อยละ 3.7
การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 1.9 และการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 2.7
มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 1.6
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5
ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.4 ของ GDP
5. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566
สภาพัฒน์ให้ข้อมูลน่าสนใจว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566 ควรให้ความสำคัญกับ
(1) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า โดยให้ความสำคัญกับ (i) การเร่งรัดการส่งออกสินค้าไปยังตลาด ที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดีและการสร้างตลาดใหม่ (ii) การติดตาม เฝ้าระวัง และ ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก (iii) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจ บริหารจัดการความเสี่ยงจากผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน (iv) การอำนวยความสะดวกและ
ลดต้นทุน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก (v) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการติดตามมาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่มาตรการภาษีและ (vi) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาค การส่งออก
(2) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการ ที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 - 2565 ให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหา ที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างประเทศเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย (iv) การส่งเสริม การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ (v) การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญๆ และ (vi) การพัฒนากำลังแรงงานที่มีทักษะสูง
(3) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดยให้ ความสำคัญกับ (i) การแก้ไขปัญหาและสร้างความพร้อมต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ii) การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง (iii) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง และ (iv) การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและการส่งเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
(4) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับ การเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเพาะปลูก 2566/2567 ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และให้ความสำคัญกับปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูง
และ (5) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศในช่วงหลังการเลือกตั้ง
6. ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลปัจจุบันดำเนินการไว้ เริ่มทยอยเสร็จสมบูรณ์
การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายเริ่มการผลิตจริง โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ
พื้นฐานโดยรวมของประเทศไทย ไม่ได้ขี้เหร่เลย
เพียงแต่การเมืองอย่าสร้างความแตกแยก นำพาบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะโดยแก้มาตรา 112 นิรโทษกรรมคดี 112 ช่วยเหลือทักษิณไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาศาล แก้รัฐธรรมนูญโดยหมกเม็ดหวังผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลประโยชน์ของนักการเมือง ฯลฯ
อย่าให้การเมืองมาเป็นตัวทำลายประเทศไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี