เป็นเรื่องร้อนตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมากับ “ส่วยรถบรรทุก” เมื่อ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแฉ “สติ๊กเกอร์หลากหลายรูปร่างสีสัน” พระอาทิตย์บ้าง กระต่ายบ้าง ไปยันตัวการ์ตูนและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเหมือน “ใบผ่าน” ว่าได้ “เคลียร์กันแล้ว” จ่ายกันเป็นรายเดือนตามระยะทาง เพื่อให้สามารถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ตามที่คนในแวดวงรถบรรทุกขนส่งสินค้าออกมาเปิดเผยผ่านสื่อหลายสำนัก และเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่
“กลุ่มรถบรรทุกที่ใช้บริการสติ๊กเกอร์เหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ต้องบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากทุกวันนี้การแข่งขันด้านการขนส่งสินค้า ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่จะแข่งขันกันที่ราคา ใครขนส่งสินค้าได้ราคาถูกกว่า ก็จะมีลูกค้าให้ความสนใจเรียกใช้บริการมากขึ้น ส่วนใครที่บรรทุกตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ก็จะมีค่าขนส่งที่แพงกว่า เพราะจริงๆ แล้วถ้าจะบรรทุกตามกฎหมายไม่เกิน 21 ตัน จะบรรทุกได้ไม่ถึงครึ่งกระบะ สำหรับรถบรรทุกหิน บรรทุกทราย จึงทำให้เกิดขบวนการหากินใต้ดินลักษณะนี้ขึ้นมา” วิชัย สว่างขจรนายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน (ส่วยทางหลวงเกี่ยวพันถึงระดับบิ๊ก สมาคมขนส่งสินค้าฯ จ่อส่งหลักฐานถึงว่าที่รัฐบาล-ช่อง 7 HD 29 พ.ค. 2566)
“การจ่ายเงินให้กับทางเจ้าหน้าที่นั้น จะมีหลายรูปแบบ สติ๊กเกอร์วิ่งสายใกล้ วิ่งเฉพาะในพื้นที่ตัวจังหวัด จะต้องจ่ายเงิน 4,000-5,000 บาท/เดือน วิ่งในภาคจ่ายประมาณ 10,000 บาท/เดือน วิ่งระหว่างภาคแต่ไม่ข้ามภาคจ่าย17,000-20,000 บาท/เดือน ส่วนสติ๊กเกอร์ประเภทโอเพ่น คือวิ่งในภาค อ้างว่าดูแลเจ้าหน้าที่ครบทุกหน่วยงาน วิ่งพร้อมบรรทุกเกินน้ำหนักได้โดยไม่ถูกจับต้องจ่ายเงินกว่า 20,000 บาท/เดือน” ศิริชัย ศรีเจริญศิลป์ นายกสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (สมาคมขนส่งทางบกฯ ยัน “ส่วยทางหลวง” มีมานาน เก็บทุกเส้นทาง จ่ายตั้งแต่ท้องถิ่น-ส่วนกลาง-มติชน 30 พ.ค. 2566)
“ราคาสติ๊กเกอร์ก็ขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่ที่จะตกลงกัน แต่เท่าที่ทราบข้อมูลมาก็จะจ่ายอยู่เฉลี่ยเดือนละ 5,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่จะบรรทุกเกินด้วย นอกจากวิ่งบนถนนทางหลวงที่ต้องจ่ายส่วยสติ๊กเกอร์แล้ว วิ่งถนนในหมู่บ้าน ตำบล ก็ถูกท้องที่เรียกเก็บส่วยรายทางอีกและหากใครจะวิ่งข้ามไปจังหวัดอื่น ก็ต้องจ่ายเพิ่มให้กับพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ตามราคาที่เขากำหนด โดยผู้ประกอบการหรือผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถบรรทุก ต่างบอกว่าที่ยอมจ่ายส่วยสติ๊กเกอร์เพื่อให้ได้วิ่งน้ำหนักเกิน บางครั้งก็ไม่คุ้ม แต่ที่ยอมจ่ายเพราะไม่อยากมีปัญหา” สมคิด กิ่งกรดกลาง ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน (ที่ปรึกษาสมาคมขนส่งอีสาน แฉส่วยสติ๊กเกอร์มีนานแล้ว จำใจจ่ายเพราะไม่อยากมีปัญหา : แนวหน้า 30 พ.ค. 2566)
นอกจากรถบรรทุกแล้ว “รถโรงเรียน” ก็เป็นอีกกลุ่มที่พบปัญหาส่วย เมื่อเพจดังอย่าง Drama-addict เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากคนขับ “รถตู้” รับ-ส่งนักเรียน ซึ่งที่มาที่ไปก็คือ รถที่จะได้รับอนุญาตให้รับส่งนักเรียน ต้องตรวจสภาพกับกรมการขนส่งฯ และมีการตรวจเช็คความปลอดภัยของทั้งตัวคนขับ และรถให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้นักเรียนปลอดภัย ต้องมีถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเหลือ กรณีเกิดอุบัติเหตุในรถ บลาๆ อะไรประมาณนี้ และมีข้อจำกัด ว่า รถนักเรียนคันนึง ต้องมีนักเรียนบนรถไม่เกินกี่คน เพื่อไม่ให้รถแออัดกันไป มันจะอันตราย
“ทีนี้ คนที่ให้ข้อมูลเขาว่า รถนักเรียนส่วนใหญ่ก็ผิดกฎหมาย คือ ไม่ได้ขออนุญาตถูกต้องจากกรมการขนส่งทางบกอยู่แล้ว เวลาเปิดเทอม ก็จะมีคนเข้าไปเช็คแต่ละโรงเรียน ว่าที่นี่มีกี่คัน มีใบอนุญาตถูกต้องมั้ย ถ้าไม่มีหรือไม่ครบก็จะบอกว่า ช่วยดูแลนายเขาหน่อย เดือนละ 200 ถ้าโอเคจะได้สติ๊กเกอร์แบบในภาพข้างล่าง ขับรับ-ส่งนักเรียน ไม่โดนโบก แต่ถ้าไม่มี ก็เจอโบกเช้าโบกเย็น และเปลี่ยนสติ๊กเกอร์กันเดือนต่อเดือน ซึ่งตามกฎหมายนั้น รถนักเรียนที่เป็นรถตู้อย่างมากนักเรียนนั่งได้ 13 คน แต่ส่วนมากยอมจ่าย เพื่อยัดนักเรียนเข้าไปให้ถึง 20 คน ก็เลยยอมจ่ายกัน” (“สติ๊กเกอร์ส่วย” ลาม! เพจดังเปิดข้อมูลแฉยับ “รถรับ-ส่งนักเรียน” ก็มี -แนวหน้า 30 พ.ค. 2566)
จากข่าวที่เกิดขึ้น มุมหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ฉ้อฉลเรียกรับผลประโยชน์ แต่อีกมุมหนึ่ง “กฎหมายกับสภาพความเป็นจริงอาจไม่สอดคล้องกัน” จึงเปิดช่องให้เกิด “พื้นที่สีเทา” เอื้อต่อปัญหาส่วย ดังที่ วิโรจน์ ออกมากล่าวเพิ่มเติมในวันที่ 31 พ.ค. 2566 เสนอแนะให้ทบทวนกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องในการปฏิบัติงานจริง เปิดช่องว่างให้ข้าราชการบางคน ใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน รีดไถหรือเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน อย่างกรณีน้ำหนักรถบรรทุกกับการชำรุดของถนน หากสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมโยธา ก็สามารถทบทวนแก้ไขกฎระเบียบให้มีความสมเหตุสมผลได้
อันที่จริงเรื่องพื้นที่เทาๆ กับปัญหาส่วย สำหรับคนไทยคงดูจะชินชาไปแล้วเพราะพบเห็นเรื่องแปลกๆ ได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่สถานบันเทิงสามารถเปิดเกินเวลาได้ มีกฎหมายห้ามค้าประเวณีแต่เราๆ ท่านๆ ต่างก็รู้ว่าตรงไหนบ้างที่มีการขายบริการทางเพศ ไปจนล่าสุดที่ วิโรจน์ คนเดิม ยังแฉต่ออีกว่า ปัญหาส่วยลามไปถึงวงการ “ลอตเตอรี่”สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่คนขายหวยรายย่อยต้องขายหวยเกินราคาเพราะต้นทุนรับมาขายนั้นแพง แต่แทนที่จะไปจัดการกับขาใหญ่กลับเรียกรับผลประโยชน์ เดือนละ 500 บาทก็ยังจะเอา
ทำให้นึกถึงโครงการ “กิโยตินกฎหมาย (Regulatory Guillotine)” หรือเรียกกันว่าการปฏิรูปกฎหมายบ้างสังคายนากฎหมายบ้าง ซึ่งมีเสียงบ่นกันตลอดมาว่า “กฎหมายไทยมีขั้นตอนยุ่ง-ยาก-เยอะ” เปิดโอกาสให้เกิดการคอร์รัปชั่นและยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ดังวงสัมมนา “กิโยตินกฎหมาย : ฟื้นเศรษฐกิจได้ ไม่ต้องใช้เงิน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เมื่อเดือน ต.ค. 2563
โดยครั้งนั้น หนึ่งในวิทยากรคือ ศ.(กิตติคุณ) ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “กฎหมายเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจโดยตรง และยิ่งมีกฎหมายมากยิ่งเพิ่มต้นทุนในการประกอบกิจการและเพิ่มโอกาสคอร์รัปชั่นมากขึ้น” วิธีแก้จึงต้องยกเลิกกฎหมายที่กระทบสิทธิเสรีภาพประชาชนทั้งหมด สิ่งนี้ลดค่าใช้จ่ายและคอร์รัปชั่นโดยไม่ต้องใช้เงิน รวมถึงกฎหมายที่กีดกันการแข่งขันและการประกอบธุรกิจ หากยกเลิกได้จะช่วยให้ประชาชนมีโอกาสประกอบธุรกิจและหารายได้เพิ่มมากขึ้น
เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 ตอนหนึ่งก็ระบุว่า “รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจําเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน” ดังนั้นก็หวังว่าเมื่อประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว นี่จะเป็น “เรื่องเร่งด่วน” ที่จะดำเนินการ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี