“จำได้ว่าในเหตุการณ์นั้นที่หมอออกตรวจ พยาบาลและนักจิตวิทยาเขาบอก หมอๆ เคสที่กำลังจะมาเจอหมอเขาต้องการมาให้หมอช่วยพูดกับพี่เลี้ยงเขาไม่ลาออก เราก็งงว่าเป็นหน้าที่หมอด้วยหรือ? ตอนนั้นก็งงเพราะปกติก็คือดูแลรักษาคนไข้หรือน้องๆ วัยรุ่นทางด้านจิตวิทยา แล้วอยู่ดีๆ มาบอกให้พูดให้พี่เลี้ยงไม่ลาออก หมอก็ว่าลองรับฟังแม่ดูหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่ก็มาพรั่งพรูให้ฟังหมดเลยว่าหมอรู้ไหม? อยากให้หมอช่วยคุยกับพี่เลี้ยงให้หน่อย เพราะพี่เลี้ยงเขาจะลาออกแล้วเขาอยากจะให้พี่เลี้ยงคนนี้ดูแลต่อ แต่นี่เขาย้ายลูกของเขามา 4 โรงเรียน แล้วแต่ละโรงเรียนบอกเลยค่าเทอมเป็นล้าน เขาย้ายได้ใน 2 ปี 4 โรงเรียนแสดงว่าเส้นใหญ่และเงินถึงมาก”
เรื่องเล่าจาก รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กระทรวงวัฒนธรรม ในงานเสวนาหัวข้อ “เชื่อมคน เชื่อมโลก ด้วยพลังการสื่อสาร” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยประสบการณ์ในฐานะที่เคยเป็น “กุมารแพทย์ด้านเด็กและวัยรุ่น”ที่จู่ๆ มีคุณแม่ท่านหนึ่งมาขอร้องให้แพทย์ช่วยเกลี้ยกล่อมพี่เลี้ยงเด็กในบ้านของตนไม่ให้ลาออก เพราะลูกสาวของตนติดพี่เลี้ยงคนนี้มาก
หลังรับฟังคุณแม่ คุณหมอสุริยเดว ได้ขอให้คุณแม่ออกไปก่อนแล้วเชิญคนเป็นลูกเข้ามาพูดคุยกัน โดยเริ่มจากคำถาม “หากให้คะแนนเต็ม 10 ความสุขในบ้านคิดว่าอยู่ที่เท่าไร?” เด็กสาวตอบว่า “1 คะแนนและคะแนนนั้นอยู่ที่พี่เลี้ยง” จึงบอกเด็กสาวไปว่าอย่างไรเสียหมอก็ต้องคุยกับคุณแม่ที่รออยู่ด้านนอก แล้วถามว่าอยากบอกอะไรกับคุณแม่บ้าง ซึ่งเด็กสาวก็ตอบมาแบบชวนอึ้ง “ช่วยรักหนูให้น้อยลงและไม่ต้องสร้างภาพ” ก่อนที่เด็กสาวจะอธิบายว่า เวลาอยู่กันตามลำพังที่บ้าน แม่ไม่เคยกอดตนเลยแต่เมื่อใดที่อยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากแม่กลับพยายามกอดตนเสมอ
ส่วนการที่ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยครั้ง เนื่องจากเด็กสาวถูกเพื่อนๆ รังแก (Bully) แต่ด้วยความที่ครอบครัวนี้ฐานะทางบ้านเข้าขั้นร่ำรวย จึงเลือกใช้เงินซื้อสภาพแวดล้อมให้ลูก หากที่หนึ่งไม่ดีก็พร้อมจ่ายเพื่อให้ได้ย้ายไปที่อื่น หลังจากนั้นคุณหมอสุริยเดวได้ขอให้เด็กสาวออกไปก่อน แล้วเชิญพี่เลี้ยงเข้ามาพูดคุยบ้าง ยิ่งทำให้คุณหมอตกใจขึ้นไปอีกเพราะ “พี่เลี้ยงเป็นชาวเมียนมาแถมไม่ได้เรียนหนังสืออีกต่างหาก” คำถามคือแล้วอะไรทำให้พี่เลี้ยงรายนี้มัดใจเด็กคนหนึ่งไว้ได้ขนาดที่ไม่อยากให้ลาออก
“ออกสตาร์ทแรก พี่เลี้ยงได้ 1 ดาวจากหมอ พี่เลี้ยงบอกอย่าถามอะไรหนูเยอะนะหนูไม่มีความรู้ ไม่ได้เรียนหนังสืออะไรมาเลย แต่หนูใช้ใจในการเลี้ยงหลานโอ้โหสุดยอด! มาแล้วอันที่ 1 แล้วเขาก็พูดต่อ คุณหมอรู้ไหม? เดี๋ยวนี้หลานหนูโตขึ้นเยอะแล้ว กลายเป็นวัยรุ่นแล้ว หนูเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดเลย เขามีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมาย แต่คุณหมอต้องเข้าใจ หนูไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยนั่งฟังอย่างเดียวโอเค! ได้ดาวที่ 2 คือเป็นนักฟังที่ดี มีบ้างเหมือนกันนะหมอที่บางทีโอบไหล่ไปแล้วตบไหล่เบาๆ เอาน่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง
สุดยอด! มีเทคนิค Reflection (สะท้อน) อารมณ์ นี่คือการสื่อสารนะ คือฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ดี ได้ 3 ดาวแล้วคุณหมอรู้ไหม? มีบางวันหลานหนูไม่รู้จะทำอย่างไร ไปแกล้งเขา แต่คุณหมอต้องเข้าใจว่าหนูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะไปตัดสินได้อย่างไรว่าใครผิด-ใครถูก สุดยอดพี่เลี้ยง ไม่มีอคติ ได้ 4 ดาว หนูเลยพูดกับหลานไปว่า หลานไปแกล้งเขาแล้วถ้าวันหนึ่งโดนแกล้งเองจะรู้สึกอย่างไรบ้าง นี่เขาเรียก Metacognition Reflection (อภิปัญญา การสะท้อน) เทคนิคในการสะท้อนความรู้สึกแล้วให้เกิดการเหลาความคิดขึ้นมา สุดยอดพี่เลี้ยง 5 ดาว” รศ.นพ.สุริยเดว เล่าถึงพี่เลี้ยงรายนี้
หลังจากฟังผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 อันประกอบด้วยคุณแม่ เด็กสาวผู้เป็นลูก และพี่เลี้ยงที่เป็นหญิงชาวเมียนมา อย่างครบถ้วนรอบด้าน คุณหมอสุริยเดว ได้เชิญคุณแม่เข้ามาคุยอีกครั้งแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณแม่ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้เงินซื้อพี่เลี้ยง” เนื่องจากพี่เลี้ยงรายนี้กำลังจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่เป็นชาวเมียนมาเช่นกันแล้วต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตครอบครัวที่ประเทศบ้านเกิด “เป็นสิทธิ์ของพี่เลี้ยงที่จะแต่งงานและมีครอบครัว” อย่างไรก็ตาม “ยังมีเวลาอีก 3 เดือนกว่าพี่เลี้ยงจะลาออก และหมอแนะนำให้คุณแม่ไปเรียนรู้จากพี่เลี้ยง” ไม่ต้องอวดรวยหรือเย่อหยิ่ง
คุณหมอสุริยเดว หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าพร้อมกับ “เรียกร้องถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในทุกระดับของบ้านเมือง ขอให้ช่วยสร้างกระบวนการสื่อสารเชิงบวก (สื่อสารในเชิงสร้างสรรค์) ไม่ใช่สื่อสารพร้อมบวก (สื่อสารช่วยทะเลาะเบาะแว้ง) ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ได้หรือไม่?” พร้อมกับเล่าอีกเรื่องราวหนึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเชิญไปหารือร่วมกับฝ่ายการเมืองในรัฐสภา ในประเด็น “ความขัดแย้งจากทัศนคติที่ไม่ตรงกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่” และได้รับคำถามมาว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไรบ้าง
ก็ตอบไปว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงและไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีการสั่งการได้ จากนั้นได้ตั้งคำถามย้อนกลับไปว่าเมื่อไรจะทำให้ “สุนทรียสนทนา (Dialogue)”เป็นวาระแห่งชาติ เพราะที่ผ่านมาเวลาจะยกอะไรเป็นวาระแห่งชาติก็มักจะยกสิ่งที่เป็นปัญหา เช่น เด็กติดเกมความรุนแรง คำถามคือเหตุใดไม่นำประเด็นเชิงบวกมาเป็นวาระแห่งชาติบ้าง โดยสุนทรียสนทนาหมายถึงการสนทนาเชิงบวก ไม่ใช่สนทนาแบบพร้อมบวก ซึ่งสามารถทำได้โดย
1.ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยของทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 2.เป็นผู้ฟังที่ดีต่อกัน เช่นเดียวกับเรื่องเล่าพี่เลี้ยง 5 ดาวข้างต้น 3.กำหนดกติการ่วมกัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำหนดเพราะมีอำนาจเหนือกว่า 4.ควบคุมบรรยากาศในการพูดคุยกัน เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียดก็ต้องพัก หากพักชั่วคราวในวันเดียวไม่ได้ก็ต้องให้แยกย้ายไปก่อนแล้วค่อยมาคุยกันวันหลังเพื่อให้อารมณ์เย็นลง และ 5.ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตัดเรื่องอายุ (หรือสถานภาพอื่นๆ ทางสังคม) ออกไป ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ใช้อารมณ์หรืออคติตัดสิน หากทำได้ก็จะทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการพูดคุยกัน
“อันหนึ่งที่หมอเสนอเขาไว้ก็คือ สุนทรียสนทนาถ้าเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม เช่น อยู่ที่บ้าน บนโต๊ะอาหาร หรืออาจจะเป็นตรงจุดไหนก็ได้ที่แบบสบายๆ มีการกำหนดแล้วก็คุยกัน หรืออาจจะเกิดขึ้นในรั้วโรงเรียน สถาบันการศึกษา จะเป็น ผอ. กับครู หรือครูกับนักเรียน แล้วมีการคุยร่วมกัน หรือถ้าสามารถเกิดขึ้นในชุมชนได้ด้วย บ้าน ชุมชน โรงเรียน เกิดลักษณะของสุนทรียสนทนา แล้วเกิดขึ้นทั้งประเทศ กระบวนการสุนทรียสนทนาจะช่วยทำให้รับฟังซึ่งกันและกัน หาข้อสรุปร่วม และสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยสันติวิธี” รศ.นพ.สุริยเดว ฝากข้อคิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี