เมื่อเดือน มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่น่าตระหนกตกใจไม่น้อย นั่นคือ “คนไทยผ่อนรถไม่ไหวปล่อยถูกยึดเป็นจำนวนมาก” โดย สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ภายใน 4 เดือนข้างหน้า จะมียอดรถถูกยึดร่วม 1 ล้านคัน โดยเฉพาะกลุ่ม “เจนวาย” หรือคนรุ่นใหม่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานนัก มีบัญชีสินเชื่อรถยนต์ 6 แสนบัญชี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง มากกว่า“เจนเอ็กซ์” หรือวัยทำงานตอนกลางถึงตอนปลาย ซึ่งพบบัญชีสินเชื่อรถยนต์กลุ่มเสี่ยงอยู่ 4 แสนบัญชี และ “เบบี้บูม” หรือวัยทำงานตอนปลายจนถึงวัยสูงอายุ พบบัญชีสินเชื่อรถยนต์กลุ่มเสี่ยงไม่ถึง 1 แสนบัญชี
เรื่องนี้สอดคล้องกับปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2566 มีการบรรยายหัวข้อ “แนวโน้มความยากจน ภายใต้พลวัตเศรษฐกิจปัจจุบัน” ในงานสัมมนาพหุภาคี “สู้ชนะความจน :บนฐานความรู้ พลังภาคี” จัดโดย งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาพื้นที่ (บพท.) โดยผู้บรรยาย คือจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกตัวอย่างข้อมูลไตรมาส 3/2565 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ร้อยละ 87 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) หรือประมาณ 15 ล้านล้านบาท
เมื่อมองฉากทัศน์แห่งอนาคต หากไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหา หนี้ครัวเรือนอาจทรงตัวหรือปรับลดลงได้เพียงเล็กน้อย คืออยู่ที่ร้อยละ 84 ของ GDPในขณะที่เกณฑ์สากลระบุว่าควรจะอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 80ของ GDP ทั้งนี้ ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในปี 2563-2565 สำหรับ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่ำที่สุดในประเทศไทย พบว่า มี 18 จังหวัด ที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และต้องบอกว่าเป็นข้อมูลเฉพาะหนี้ในระบบ แต่หากรวมหนี้นอกระบบมาด้วยจะยิ่งมากกว่านี้
“สิ่งที่เรากังวลเพราะอะไร? การที่เรามีหนี้เยอะๆ รับรายได้มา 100% 87 บาทเราต้องไปจ่ายหนี้ เหลือ 13 บาทกิน-ใช้ มันก็ฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะรายได้ส่วนใหญ่ต้องไปจ่ายหนี้ นอกจากนี้ เรื่องของเสถียรภาพระบบการเงิน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็อยู่ไม่ไหว ถ้าเจ้าหนี้อยู่ไม่ไหว หมายความว่าสถาบันการเงินบางประเภท ธนาคารก็ไม่มีสภาพคล่องไปคืนผู้ฝากเงินเมื่อทวงถาม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องดูด้วย นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของปัญหาสังคมต่างๆ ที่จะตามมา” จิตเกษม กล่าว
ผอ.อาวุโสฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. ย้ำว่า “การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็นหนี้เพื่ออะไร” อาทิ “หนี้ที่มีคุณภาพ” หมายถึงเป็นหนี้การลงทุนทำมาหากินซึ่งควรส่งเสริม แต่ขณะเดียวกันก็มี “หนี้ประเภทที่พึงระวัง” เช่น หนี้ประเภทกู้มาเพื่อการใช้จ่าย ดังคำ
ที่ชอบพูดกันว่า “ของมันต้องมี” อยากได้ต้องได้ ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วต้องกู้หนี้ยืมสิน นอกจากนั้นยังมี “หนี้อันตราย” เช่น หนี้การพนัน
ยังมีข้อมูลที่พบว่า “ร้อยละ 30 ของหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีบัตรเครดิตเกิน4 ใบ หรือมีวงเงินสูงกว่ารายได้ 10-25 เท่า” สะท้อนภาพ“การใช้จ่ายเกินตัว” แต่อีกด้านก็มีปัจจัยคือ“มีการขายสินเชื่อจากสถาบันการเงินโดยให้ข้อมูลไม่ชัดเจน” และไม่ใช่ว่าในภาพรวมคนไทยจะไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ เพราะ “ร้อยละ 62 ของคนไทยมีเงินออม แต่จำนวนเงินออมนั้นไม่เพียงพอรองรับเรื่องฉุกเฉิน” อีกทั้งมากกว่าครึ่งหนึ่งของครัวเรือนไทย จะไม่มีเงินพอจ่ายหนี้หากรายได้ลดลงกะทันหัน (Shocked Income)
สำหรับ กลุ่มหนี้ที่ต้องเร่งแก้ไข ประกอบด้วย 1.หนี้เสีย โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบหนี้เสียที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน รองลงมาคือ Non-Bank (เช่น หนี้ยานยนต์) และหนี้สถาบันการเงินตามลำดับ 2.หนี้เรื้อรัง หมายถึงหนี้ที่ปิดไม่จบเพราะจ่ายเพียงอัตราขั้นต่ำ ผลคือเป็นเพียงการจ่ายดอกเบี้ยโดยเงินต้นลดลงเล็กน้อย หรือหนี้ประเภทกู้จากแหล่งหนึ่งเพื่อไปโปะหนี้อีกแหล่งหนึ่ง
3.หนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเร็ว จะทำอย่างไรให้หนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหนี้มีคุณภาพ และผู้ก่อหนี้สามารถบริหารจัดการเงินได้ จ่ายหนี้ไหวโดยยังพอมีเงินเหลือดำรงชีพ ซึ่ง ธปท. กำลังเตรียมออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ คาดว่าจะได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างภายในไตรมาส 3-4 ของปี 2566 เพื่อแก้ปัญหาการโฆษณาจูงใจให้ก่อหนี้เกิดความจำเป็นและเกินกำลังจ่ายคืน
รวมถึงมาตรการอื่นๆ เช่น สร้างแรงจูงใจให้ชำระหนี้ให้เร็วขึ้น ใช้อัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (เสี่ยงน้อยกู้ถูกแต่เสี่ยงมากก็ยังกู้ได้) ลดความสำคัญของเพดานดอกเบี้ยลงเพื่อดึงหนี้เข้าสู่ระบบ ตลอดจนให้ความรู้ทางการเงินกับประชาชนตั้งแต่ยังอยู่ในระบบการศึกษา และ 4.หนี้ที่ยังไม่รวมอยู่ในข้อมูลหนี้ครัวเรือน เช่น หนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สินเชื่อสหกรณ์ หนี้นอกระบบ
“สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องผลักดัน มีแนวนโยบายให้เจ้าหนี้ใช้ข้อมูลอื่นๆ เพื่อประเมินสินเชื่อด้วย อย่างคนอยู่หนี้นอกระบบเขาอาจจะไม่มีรายได้ประจำ ตอนนี้เราอาจจะเป็น Digital Footprint (รอยเท้าดิจิทัล) แล้ว เช่น ไรเดอร์ที่ไม่มีรายได้ประจำ แต่มี Track Record (บันทึกติดตาม) ว่าขยันรับ-ส่ง เรตติ้งดี หรือคุณป้าที่ผัดอาหารขายผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ ผัดอร่อยเห็นคนสั่งเยอะ พวกนี้เป็น Digital Footprint เป็น Track Record ที่สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบในการขอสินเชื่อต่อไปได้” จิตเกษม ระบุ
ในช่วงท้ายของการบรรยาย ผอ.อาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท.กล่าวถึงหลักการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย “ก่อนเป็นหนี้” ต้องให้ความรู้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกหนี้ กับ “ขณะเป็นหนี้” แม้จะจ่ายขั้นต่ำได้ แต่หากจ่ายมากกว่าขั้นต่ำจะจบหนี้ได้เร็วขึ้น สถาบันการเงินต้องให้โอกาสปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก่อนขายหนี้ออกไป ดำเนินการให้ถูกกับสถานการณ์ปัญหาของลูกหนี้ ไม่ใช้มาตรการแบบเหวี่ยงแห ระมัดระวังการใช้มาตรการพักชำระหนี้ เพราะหากทำบ่อยๆ ลูกหนี้อาจคุ้นชินแล้วหายไปไม่มาชำระหนี้อีก และไม่ควรลบประวัติข้อมูลเครดิต เพราะเจ้าหนี้จะไม่มีข้อมูลประกอบการพิจารณา ซึ่งก็จะมีแนวโน้มไม่ปล่อยกู้
และ 3.เพิ่มรายได้ ทำอย่างไรจะเพิ่มศักยภาพของแรงงานเพื่อให้สามารถหารายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอทั้งการใช้จ่าย ชำระหนี้และเก็บออม!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี