วันนี้ อยากจะเล่าถึง “เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด”หรือ “โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด”
เป็นโครงการที่ “นายกฯ ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ยุครัฐบาล คสช.
กระทั่งหลังการเลือกตั้ง 2562 ได้รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีนายกฯ ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการฯ ได้เดินหน้าต่อ
แถมขยายผลเพิ่มเติมอีกด้วย จนกระทั่งปัจจุบัน
1. โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นการจ่ายเงินอุดหนุนโดยตรง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน สำหรับการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ขวบ
เงินอุดหนุนเดือนละ 600 บาท จ่ายตรงเข้าบัญชีคุณแม่หรือผู้ปกครองเด็ก
ดำเนินโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน
ล่าสุดที่เบิกจ่ายไปแล้ว คือ งวดเดือนสิงหาคม 2566 จำนวน 2.29 ล้านคน เป็นเงิน 1,478 ล้านบาท
ลองคิดง่ายๆ ว่า จ่ายเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท ต่อเนื่องมาแล้วกว่า 108 เดือน ก็คิดเป็นเงินกว่าหนึ่งแสนล้านบาท !!!
ตอกย้ำถึงความจริงจัง จริงใจ ลงมือทำต่อเนื่องสำหรับโครงการนี้ ได้ดีกว่าคำคุยโม้โอ้อวดใดๆ
2. ผมเคยแสดงจุดยืนสนับสนุนโครงการนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ก่อนที่รัฐบาล คสช.จะอนุมัติโครงการนี้
เพราะเห็นว่า เป็นโครงการที่ดีมาก เป็นประโยชน์แก่สังคม และการพัฒนาประเทศชาติระยะยาว
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เด็กบางคนเกิดมาในครอบครัวยากไร้ รัฐก็ควรช่วยประคับประคองดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงสำคัญของพัฒนาการชีวิตในวัยเด็ก
รายงานของยูนิเซฟยืนยันว่า “ตั้งแต่เริ่มประกาศใช้นโยบายในปี 2558 โครงการเงินอุดหนุนฯ ดำเนินโครงการอย่างรวดเร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้เชี่ยวชาญนานาชาติต่างเห็นว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ใช้เวลาในการพัฒนาสั้นที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้”
ระหว่างปี 2558 - 2562 รัฐบาล คสช. นายกฯพลเอกประยุทธ์ เริ่มให้สิทธิครอบคลุมเด็กอายุ 0 - 1 ขวบในครอบครัวยากจนและเสี่ยงที่จะยากจน จากนั้นมีการประเมินโครงการซึ่งได้ผลที่ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนต้องการเงินอุดหนุนฯ มากและเงินอุดหนุนฯ ส่งผลบวกต่อผู้ที่ได้รับ ทำให้รัฐบาลไทยเห็นชอบขยายนโยบายเงินอุดหนุนฯ ให้ครอบคลุมเด็กอายุ 0 - 3 ขวบ และเพิ่มจำนวนเงิน จาก400 บาท เป็น 600 บาท ในปี 2559
หลังปี 2562 รัฐบาลลุงตู่ขยายสิทธิให้ครอบคลุมถึงเด็กอายุ 6 ขวบ และปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้เฉลี่ยต่อปีจาก 36,000 บาท เป็น 100,000 บาท ต่อคน (สอดคล้องกับนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)
3. ประโยชน์ของโครงการนี้?
ด้านสาธารณสุข... ช่วยให้เด็กอายุ 0-6 ขวบ ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็นกำลังของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต
เด็กในโครงการฯ มีพัฒนาสมวัยคิดเป็นร้อยละ 95.30 (ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2563) ทำให้เห็นว่า การได้รับเงินอุดหนุนจากโครงการฯ เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มการเข้าถึงบริการต่างๆ ของเด็ก
ด้านเศรษฐกิจ... การลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนแก่สังคมที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7-10 เท่า ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ทักษะที่สูงขึ้น ผลการเรียนที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น การเจ็บป่วยที่ลดลง และอาชญากรรมที่ลดลง เป็นต้น
ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ... โครงการฯ ทำให้เด็กแรกเกิดสามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้รับการพัฒนาให้เติบโตอย่างเหมาะสมตามวัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจัดสวัสดิการตามภารกิจของหน่วยงานได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ประการสำคัญ จะมีส่วนช่วยในการหยุดความยากจนที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
ล่าสุด เด็กรุ่นแรกที่ได้รับเงินอุดหนุนจากโครงการนี้ก็โตขึ้นเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาไปแล้ว
4. ทำไมประเทศไทยจึงต้องการเงินอุดหนุนสำหรับเด็ก?
โครงการนี้ ถือให้เป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล คสช. ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลลุงตู่
การช่วยครอบครัวที่ยากจนก่อน ก็เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ควรจะได้รับโอกาสขั้นต้นของชีวิตในการมีพัฒนาการที่เหมาะสม แม้จะเกิดในครอบครัวยากจนก็ไม่ควรจะเป็นอุปสรรค เพื่อชีวิตระยะต่อๆ ไป จะได้สามารถขวนขวาย เติบโต หาความรู้ ทำงาน สร้างอนาคตที่ดีแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไปได้
ผลได้ทางเศรษฐกิจที่ตามมา คือ การช่วยลดภาระของครอบครัวเด็ก เติมกำลังซื้อเข้าไป เมื่อได้เงินเพิ่มมาอีกเป็นรายเดือน แม้จะไม่เพียงพอค่าเลี้ยงดูเด็กทั้งหมด แต่ก็ย่อมจะช่วยให้สามารถกันเงินรายได้ส่วนอื่นไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครอบครัว กลายเป็นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อช่วยคนยากจน อัตราหมุนของเงินก็จะรวดเร็ว
รายงานยูนิเซฟ ระบุว่า
“ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ดังนั้น ในการวางยุทธศาสตร์ชาติ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ในอนาคต จึงต้องเสริมสร้างศักยภาพของเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปตลอดทุกช่วงอายุ ดังที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
การลงทุนในการพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงขวบปีแรกๆ เป็นกลยุทธ์ทางการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์ด้านกำลังผลิตของประเทศต่อไปในอนาคต
ประเทศไทยมีเด็กจำนวนสองล้านคนอยู่ในครอบครัวที่ยากจน และร้อยละ 21.5 ของเด็ก หรือ 1 ใน 5 ของเด็กไทยประสบปัญหาความยากจนหลายมิติ เด็กเหล่านี้อาจไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากโอกาสและทรัพยากรที่จำกัด ทำให้ส่งผลต่ออนาคตของทั้งตัวเด็กและต่ออนาคตของทุนมนุษย์และทุนทางเศรษฐกิจของประเทศชาติอีกด้วย
นโยบายเงินอุดหนุนฯ ในต่างประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถขจัดปัญหาเด็กยากจนได้ส่งผลช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว”
5. เงินอุดหนุนฯ ควรสานต่อไปเพื่อการพัฒนาประเทศ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
นโยบายเงินอุดหนุนฯ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างและพัฒนาทุนมนุษย์ และ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(พ.ศ.2561 - 2580)
แนวทางที่เสนอแนะตามรายงานของยูนิเซฟ ระบุว่า
“...ผลิตหลักฐานทางวิชาการอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาการดำเนินนโยบายและลดอัตราการตกหล่นของโครงการฯเพื่อทำให้มั่นใจว่าเด็กที่มีสิทธิทุกคนจะได้รับเงินอุดหนุนฯ
เสริมสร้างการปฏิบัติงานอย่างมีคุณภาพในทุกระดับ รวมทั้งพัฒนาสื่อเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน และ จัดอบรมให้แก่เจ้าหน้าผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ
เสริมสร้างระบบการติดตามและรายงานผลของเงินอุดหนุนฯให้มีคุณภาพ โดยใช้กรอบการติดตามผลตัวชี้วัดที่ปรับใหม่ให้สอดคล้องและทันสมัย รวมถึงดำเนินการติดตามและรายงานผลอย่างสม่ำเสมอ
เสริมสร้างการเชื่อมโยงเงินอุดหนุนฯกับบริการสังคมอื่นๆเพื่อลดปัญหาและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กให้ดียิ่งขึ้น
สร้างโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะขยายสิทธิของเด็กที่ได้รับสิทธิไปสู่เด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ
เงินอุดหนุนฯถ้วนหน้าจะสามารถช่วยลดค่าบริหารจัดการ ลดอัตราการตกหล่น และยังช่วยส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาติและการอยู่ร่วมกันในสังคมผ่านการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม”
6. เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาทต่อเดือน
สำหรับเดือน ก.ย. 2566 จะมีผู้ได้รับจำนวน 2,288,337 คน
ล่าสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยืนยันว่า จะได้รับภายในวันที่ 18 กันยายนนี้แน่นอน
เหตุที่ล่าช้าก่อนหน้านี้ เพราะผู้มีสิทธิที่ได้ลงทะเบียนมีจำนวนมากเกินกว่าที่ประมาณการไว้ ทำให้งบประมาณปี 2566 ที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่าย กระทรวง พม.จำเป็นต้องขออนุมัติงบกลางเพิ่มอีก 998.442 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอกับวงเงินที่จะต้องใช้เบิกจ่ายทั้งหมดเป็นจำนวนเงินประมาณ 1,462 ล้านบาทเศษ
โดยงบกลางที่ได้ขอเพิ่มผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.ลุงตู่) เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2566 เรียบร้อยแล้ว
แต่เนื่องจาก ครม. รักษาการ จึงจำเป็นต้องเสนอเรื่องผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนเสนอกลับมาที่ ครม. อีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ ผ่าน กกต. เรียบร้อยแล้ว ล่าสุด รัฐมนตรี พม.คนใหม่ นายวราวุธ ศิลปอาชา จะนำเรื่องเข้า ครม.ชุดใหม่ทันที และยืนยันว่าจะจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิภายในวันที่ 18 กันยายนนี้
เรียกว่า นายกฯลุงตู่ เริ่มลงหลักปักฐานไว้แต่เดือนแรก แล้วก็ยังตามแก้ปัญหาให้จนถึงการประชุม ครม.ลุงตู่ครั้งสุดท้าย ก็ยังสะสางให้
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี