มาแล้ว มาตรการรับขวัญรัฐบาลใหม่ !!!
ฝากเนื้อฝากตัวกับประชาชน
เมื่อวานนี้ ครม.อนุมัติมาตรการลดค่าพลังงาน
ลดค่าไฟฟ้า เหลือ 4.10 บาท
น้ำมันดีเซลต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร มีผล กันยายน นี้
วีซ่าฟรีให้จีน-คาซัคสถาน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศรับช่วงท่องเที่ยวปลายปี
แต่ทั้งหมดนั้น ก็ไม่สามารถให้คำตอบของคำถามใหญ่ที่สุดในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คือ
นโยบายหาเสียงแจกเงิน 10,000 บาท เข้ากระเป๋าดิจิทัล วอลเล็ต นั้น จะเอาเงินมาจากไหน?
ที่เคยประกาศยืนยันว่าจะไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ไม่กู้เพิ่ม เป็นแค่คำพูดตลบตะแลง หรือไม่?
1. การชี้แจงในรัฐสภา ไม่มีใครชี้แจงได้เลยว่า เงินจะมาจากไหน?
ตั้งแต่นายกฯ เศรษฐา ยันรัฐมนตรีช่วยคลัง ไม่มีใครตอบได้เลย
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงมากที่สุด ก็ยืนยันได้แต่เพียงว่า
- นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คือ นโยบาย
ธงหลัก นโยบายหนึ่งของรัฐบาลปัจจุบัน
- นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ด้วยกลไกของ Blockchain เขียน contract กำหนดกรอบการใช้จ่ายเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลได้
- แหล่งที่มาของงบประมาณ จะไม่มีการแตะต้องทรัพย์สมบัติของชาติ
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนวายุภักษ์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือกองทุนประกันตน
- เราจะขอเวลาในการไปตรวจในรายละเอียดและเดินหน้าโครงการ สุดท้ายจะมีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกรอบการใช้เงิน ระยะเวลาในการดำเนินการ รวมถึงกระบวนการที่เราจะนำเอาเงินงบประมาณมาใช้คืนให้หมดในระยะเวลาที่กำหนดไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะแน่นอน ไม่เป็นการกู้เพิ่ม และยึดหลักกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ขอยืนยันผ่านรัฐสภาแห่งนี้
ชัดเจนว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าแหล่งงานที่จะนำมาแจกจ่ายให้ประชาชนนั้น 560,000 ล้านบาท จะมาจากไหน?
2. ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เตือนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจทำให้ระดับหนี้ของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น กระทบเสถียรภาพทางการคลัง
ฟิทช์ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ ฟิทช์ยังให้ความเห็นว่าเสถียรภาพทางการคลังของไทยอาจจะถูกกระทบจากการที่พรรคการเมืองหลายพรรคเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายทางสังคม ซึ่งนโยบายประชานิยมเหล่านี้อาจจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่อาจส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น หากไม่สามารถรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องได้
วิจัย กรุงศรีฯ มองว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจที่กำลังถูกจับตามองมากนโยบายหนึ่งคือ โครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท (วงเงินรวม 5.6 แสนล้านบาท) ให้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ราว 56 ล้านคน ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน ในรัศมี 4 กิโลเมตร (อาจมีการปรับให้ยืดหยุ่น) ล่าสุด ยังต้องติดตามความชัดเจนของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมถึงวิธีการแจก
เบื้องต้นรัฐบาลระบุถึงแหล่งเงินอาจจะนำมาจากหลายๆ ภาคส่วนด้วยกัน อาทิ การจัดสรรจากงบประมาณรายจ่าย และการกู้เงิน (ล่าสุดหนี้สาธารณะเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 61.7%)
สำหรับในส่วนผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขึ้นอยู่กับว่าการใช้จ่ายนี้จะสามารถหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปได้กี่รอบ ซึ่งจากผลการศึกษาของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (ปี 2564) พบว่าตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multipliers) ของรายจ่ายเงินโอนสำหรับประชาชนทั่วไปอยู่ที่ 0.947
ต่ำสุดเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายภาครัฐในประเภทอื่นๆ เช่น ค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ (1.871) รายจ่ายเงินโอนสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย (1.356) และรายจ่ายเพื่อการลงทุน (1.242) เป็นต้น
3. คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตเลขาฯก.ล.ต. “สรุปประเด็นวิชาการเรื่องเงินดิจิทัล 10,000” ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า
“....ผมเรียกนโยบายนี้ว่า “3 เสก 1 เสีย”
1 เสกคะแนนนิยม ด้วยการหว่านเงิน
2 เสกความตะลึงงัน ด้วยอ้างเทคโนโลยี
3 เสกจีดีพี ด้วยเอาเงินทุ่มซื้อ
แลกกับ “เสีย”ความมั่นคงทางการคลัง
...-ถ้าใช้เทคโนโลยี เน้นเพื่อควบคุมเงื่อนไขการใช้เงิน วิธีที่ค่าใช้จ่ายต่ำสุดคือใช้แอปเป๋าตัง แล้วเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมอีกชั้นหนึ่ง
แต่วิธีนี้ไม่เป็นเงินดิจิทัล ไม่เป็นคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ตะลึงงัน และจะเกิดคำถามมากมาย ทำไมต้องแจกเงินทั้งที่ไม่มีล็อกดาวน์
-ถ้าจะตะลึงงัน ต้องตั้งบริษัทเอกชนขึ้นมาออกคอยน์(เหรียญ) โดยใช้ระบบบล็อกเชน ซึ่งคอยน์นี้ย่อมจะเป็นคริปโตเคอเรนซี่ (ซึ่งในไทยมีการออกแล้วเกิน 10 คอยน์ เช่น Bitkub Coin/ JFIN Coin/ SIX Coin ฯลฯ) และจะเป็น stable coin สกุลบาทที่กำหนดเงื่อนไขการใช้เงิน
-กระทรวงการคลังไม่มีหน้าที่ไปจัดตั้งบริษัทเอกชนขึ้นมาเพื่อออกคอยน์(เหรียญ) ดังนั้น จึงต้องมีบริษัทเอกชนดำเนินการ โดยกระทรวงการคลังซื้อคอยน์ เพื่อเอาไปแจกแก่ประชาชน
-ต้องตอบคำถามว่า (ก) ทำไมไม่ใช้ระบบเงินดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีอยู่แล้ว (ข) การใช้ระบบบริษัทเอกชนมีประสิทธิผลหรือข้อดีเหนือกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างไร (ค) ทำไมเลือกบริษัทเอกชนรายนี้ มีการประมูลหรือไม่ (ง) กระทรวงการคลังรับซื้อคอยน์ในราคาที่เหมาะสมหรือไม่ (จ) ปฏิบัติตามกฎกติกาจัดซื้อจัดจ้างจะทำอย่างไร
-ต้องตอบคำถามว่า แทนที่จะใช้ระบบเงินดิจิทัลของชาติที่ดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเป็นระบบเดียวที่ใช้กันทั่วไปในอนาคตโดยทุกกระทรวง และจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ กลับไปใช้ระบบบริษัทเอกชนแทนนั้น
จะเป็นการวางนโยบายพื้นฐานการเงินใหม่ให้แก่ประเทศ ได้อย่างไร? ถามว่าคอยน์ที่ออกโดยบริษัทเอกชน เช่น Bitkub Coin/ JFIN Coin/ SIX Coin ฯลฯ ที่ผ่านมานั้น เป็นการวางนโยบายพื้นฐานการเงินใหม่ให้แก่ประเทศ หรือไม่?
....วิธีบริหารประเทศให้แสดงผลงานว่าเศรษฐกิจขยายตัวแบบง่ายที่สุด คือกู้หนี้สาธารณะมาทุ่มเงิน เพื่อซื้อตัวเลขจีดีพี
-แต่จะได้ผลน้อยกว่าคาด เพราะถ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วรัฐบาลร่ำรวย ก็ให้ดูรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ทุ่มแจกเงินเพื่ออุปโภค-บริโภคมหาศาล ถ้าได้ผลดีวิเศษจริง ป่านนี้รัฐก็จะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วนไปแล้ว
-การซื้อสินค้าที่มี import content กลับจะเป็นการเอาหนี้ของประชาชนคนไทยไปช่วยให้ต่างชาติรวย
-กลุ่มคนที่มีฐานะดี ก็จะเอาเงินไปออม ทั้งนี้ ไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลจะกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อแจกให้ประชาชนเอาไปออม
***เสี่ยง Fitch เตือนให้รัฐบาลใหม่ระวังเรื่องหนี้สาธารณะ เพราะจะฉุดให้อันดับเครดิตของประเทศลดต่ำลง
***แหล่งเงิน
-ถ้าใช้วิธีกู้รัฐวิสาหกิจ จะเข้าข่ายเป็นการเลี่ยงการกำกับโดยรัฐสภา....”
4. เมื่อรัฐบาลไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัด สังคมที่ถูก “ล่อซื้อ” ไปแล้ว ด้วยนโยบายที่ใช้เงินมหาศาล 560,000 ล้านบาท ก็ย่อมคาดเดาไปต่างๆ นานา
ทางที่ดีที่สุด คือ
1. ออกมายอมรับตรงๆ ว่า เงินที่จะนำมาใช้ คือ นำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน
2. จะต้องยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งมาใช้ แล้วรัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณทยอยผ่อนใช้หนี้คืน เหมือนโครงการจำนำข้าว ใช่กรือไม่?
3. แบบนี้ มันคงตลบตะแลงถ้าจะอ้างว่า ไม่ได้กู้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว เพราะเป็นการยืม !!!
4. มันจะต่างอะไรกับการ “ยืมมาแจก” เอาหน้าเอาตา หวังคะแนนนิยม เพราะถ้ามันจะเป็นเร่งด่วนจริง คงไม่สามารถรอจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าถึงจะแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนมหึมานี้
5. ถ้าคิดได้ว่ามันสร้างภาระหนัก เพิ่มความเสี่ยงให้แก่ประเทศชาติ ก็ควรใช้ความกล้าหาญ ประกาศยุติ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงการ ปริมาณเงินที่ใช้เสียแต่เนิ่นๆ พรรคก้าวไกลเองช่วงที่จัดตั้งรัฐบาลก็ยอมรับว่าไม่สามารถทำตามนโยบายขายฝันสารพัดเรื่องของตัวเองเหมือนกัน
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง จนทำประเทศชาติฉิบหาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี