การมุ่งที่จะลดประเด็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย น่าจะเป็นภารกิจในระดับต้นๆ ของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำพาของนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของราชอาณาจักรไทย อีกทั้งพรรคเพื่อไทย (ซึ่งมีรากเดิมจากพรรคไทยรักไทย) ก็มีความเลื่องลือในเรื่องการเห็นแก่ และมีใจให้กับคนยากคนจน จนเป็นเรื่องที่ยอมรับนับถืออย่างกว้างขวางและจับต้องได้ เช่น โครงการรักษาพยาบาลถ้วนหน้า โครงการประกันข้าวเปลือก โครงการค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น ซึ่งล้วนมีเป้าหมายที่จะยกระดับและฐานะ และความมั่นคงในชีวิตของเกษตรกร และผู้มีรายได้ต่ำแบบหาเช้ากินค่ำเป็นการทั่วไป
แต่สำหรับรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ยังไม่เคยมีการพูดจา หรือกำหนดเป้าหมายอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ ในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระจุกตัวของความมั่งมีศรีสุข หรือเรื่องของรายได้ อีกทั้งเรื่องของการเข้าถึงซึ่งการบริการของภาครัฐรวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการมุ่งที่จะสนองความสะดวกสบาย และผลประโยชน์ของกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่กระจุกตัวอยู่ที่เมืองหลวงกรุงเทพมหานคร แทนที่จะคิดอ่านในเรื่องการกระจายโอกาสและการบริการต่างๆ เพื่อให้มีความทั่วถึง ทัดเทียมและเสมอภาคกัน
ตัวอย่างที่โจ่งแจ้งของการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำก็คือ
1. โครงการจัดทำค่าตั๋วการเดินทางประจำวัน 20 บาทเชื่อมโยงการขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลมุ่งที่จะรับใช้และเอาอกเอาใจคนเมืองเป็นหลัก ทั้งที่ในต่างจังหวัดก็ยังมีประเด็นปัญหาของความไม่ทั่วถึงของระบบรถไฟ และระบบรถโดยสารระหว่างจังหวัดและภายในจังหวัด เป็นต้น
2. โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลในทุกเขตของกรุงเทพฯ ฟังแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก เพราะตัวรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ ก็เป็นคนจากจังหวัดน่านและก่อนเข้าสู่สนามการเมือง ท่านก็เคยเป็นนายแพทย์ชนบทแล้วทำไมเมื่อได้มาเป็นเสนาบดีถึงมัวคิดแต่จะสร้างโรงพยาบาลให้กับคนกรุงเทพฯ เท่านั้น ทั้งที่ที่กรุงเทพฯ นั้นมีโรงพยาบาลของรัฐ ของ กทม. และโรงพยาบาลเอกชน อยู่มากมาย ซึ่งการที่ฝ่ายรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขจะหันมาสร้างโรงพยาบาลในเขต กทม. เพิ่มนั้น ก็น่าเป็นการเข้ามาทำงานแบบแทรกแซงและซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองท้องถิ่นอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าไม่จำเป็น เพราะเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยฝ่ายรัฐบาลกลางสามารถที่จะเข้ามาร่วมมือสนับสนุนในด้านต่างๆ ได้ แต่ต้องไม่เข้ามาดำเนินการเสียเอง เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ในการหาคะแนนนิยมกับชาว กทม. และชาวจังหวัดปริมณฑล
3. โครงการสร้างสนามบินจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 2 และโครงการสร้างสนามบินที่จังหวัดพังงา ก็มีคำถามว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน? แล้วมีการจัดทำการศึกษาว่าด้วยความเป็นไปได้และความคุ้มค่าของการลงทุนหรือไม่เพียงใด? (Fixibility study) และสนามบินจะขยายหรือจะสร้างใหม่นั้นก็ต้องเปรียบเทียบกับการบริการ การขนส่งมวลชนภาคพื้นดินด้วย เพื่ออำนวยให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ไม่สูงนัก ได้ใช้บริการ แทนที่จะต้องไปซื้อตั๋วเครื่องบินอีกทั้งประเด็นปัญหาของการเดินทางด้วยรถโดยสารเข้า-ออกสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นที่หาดใหญ่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และอื่นๆ ก็ยังมีประเด็นปัญหาของความไม่สะดวก เพราะแฝงไว้ด้วยระบบผู้มีอิทธิพล หากินกับชาวบ้านที่ต้องสัญจรไป-มาและนักท่องเที่ยว ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาลควรจะมุ่งแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่เรื้อรังมานานแสนนานเสียก่อน และนำงบประมาณที่จะไปใช้กับการสร้างสนามบินใหม่ หรือขยายสนามบินนั้น มาใช้กับเรื่องพื้นๆ (basic) ให้มีมาตรฐานสากลเสียก่อนก็คงจะดีกว่า เพราะเป็นการตอบสนองคนส่วนใหญ่ อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็ไม่ใช่พระเจ้า และเขาก็คงจะพึงพอใจกับการต่อเครื่องบิน การเดินทางต่อจากสนามบินไปยังที่ต่างๆ ด้วยระบบสื่อสารมวลชนภาคพื้นดินที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีกไม่กี่ชั่วโมงจากการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยตรงเท่านั้น
4. การสมัครใจเข้ารับการเกณฑ์ทหาร จะให้เยาวชนชายสมัครเข้าเป็นทหารแทนการถูกเกณฑ์ทหาร ก็ยังเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำอยู่ดี เพราะประเด็นที่แท้จริงก็คือ เยาวชนทั้งหญิงและชายจะต้องได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อช่วยหรือรับใช้ชาติ (National service) ซึ่งไปรับการฝึกอบรมเป็นทหารกองหนุน เป็นผู้ช่วยแพทย์พยาบาล เป็นผู้ช่วยด้านสาธารณประโยชน์และสาธารณูปโภคต่างๆก็ได้ทั้งนั้น ด้วยหลักที่ว่าคนหนุ่ม-สาวทุกคนต้องมีโอกาสรับใช้ชาติด้วยการเข้าฝึกอบรมเป็นอาสาสมัครทั้งกิจการทหารและพลเรือน ซึ่งก็จะเป็นการป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติ หรือก่อให้เกิดการเหลื่อมล้ำแต่อย่างหนึ่งอย่างใด
5. การเสียภาษี ผู้บริโภคชาวไทยทุกวัย ทุกคน เมื่อจับจ่ายซื้อของก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบคนละ 7%) อย่างเสมอภาค ทั่วถึง เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมประเทศชาติร่วมกัน แต่ประเทศไทยก็ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องการเสียภาษีรายได้ที่ไม่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง และมีการหลบเลี่ยงหลบหลีกภาษีรายได้จึงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่ยุติธรรมในสังคม และฉะนั้นฝ่ายรัฐบาลก็ต้องเอาจริงเอาจังกับการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้ต้องเสียภาษี ส่วนจะหักลดกันอย่างไรของผู้มีรายได้ต่ำ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาหาทางช่วยเหลือแก้ไขกันไปตามนั้น โดยให้ประชาชนพลเมืองต้องตระหนักว่า การเสียภาษีนั้นเป็นหน้าที่ และฉะนั้นก็มีสิทธิอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบการใช้งบประมาณของภาครัฐในการบริการประชาชนพลเมืองให้ได้อย่างทั่วถึงทัดเทียมกัน
6. การรักษาพยาบาล สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการทันทีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำก็คือ การยกระดับทุกโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ อีกทั้งก็ต้องพัฒนาปรับปรุงโรงพยาบาลตำรวจ ให้มีความพร้อมเท่ากับโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ของกองทัพบก หรือโรงพยาบาลพระปิ่นเกล้าของกองทัพเรือ หรือโรงพยาบาลภูมิพลของกองทัพอากาศ และไม่ด้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชนใดๆทั้งนี้นักโทษทุกคนก็ควรจะได้รับการรักษา และนอนพักอย่างสบายๆ ที่โรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์อย่างไม่น้อยหน้าใคร และไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
ก็ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายรัฐบาลมา ณ ที่นี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี