ปราชญ์แต่โบราณท่านว่าอำนาจนั้นประกอบด้วยองค์สาม มีลักษณะติดยึดเหนียวแน่นหอมหวาน และร้อนแรงดั่งไฟประลัยกัลป์ เป็นที่พึงปรารถนาของคนทั้งหลาย กระทั่งกล่าวได้ว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก ดังที่มีปรากฏในพุทธภาษิตว่า วโส อิสริยังโลเก
องค์สามแห่งอำนาจ ได้แก่ อำนาจนั้นได้มาก็แต่โดยการช่วงชิง ไม่ว่าจะเป็นการช่วงชิงในลักษณะใช้ความรุนแรงหรือสืบทอดโดยระบบใดๆ อำนาจนั้นเมื่อได้มาแล้วก็ต้องรักษาอำนาจไว้ มิฉะนั้นก็จะหลุดลอยไป เพราะอำนาจนั้นเป็นของลื่นไหลดุจดังปรอท หากรักษาไว้ไม่มั่นคงก็จะหลุดรอดไปเมื่อใดก็ได้ และองค์สำคัญคืออำนาจนั้นต้องใช้เพื่อการรักษาอำนาจ และเพื่อการทั้งหลายอันเป็นเป้าประสงค์เพื่อให้บรรลุผลตามที่ต้องการ
เพราะอำนาจเป็นใหญ่ในโลก ดังนั้น อำนาจจึงเป็นที่พึงปรารถนาของสัตว์ทั้งหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานที่แม้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแต่ก็ยังปรารถนาซึ่งอำนาจ ไม่ว่าฝูงลิง ฝูงควาย ฝูงสิงโต หรือฝูงช้าง ย่อมปรารถนาความเป็นจ่าฝูง ซึ่งแม้ไม่มีอิสริยยศ อิสริยศักดิ์เหมือนกับเวไนยสัตว์ แต่ก็มีอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่าสัตว์ตัวอื่น อย่างน้อยก็ในการกินและการสืบเผ่าพันธุ์
เมื่ออำนาจเป็นที่พึงปรารถนาของสัตว์ทั้งหลายดังนั้นโดยธรรมชาติแห่งอำนาจจึงเป็นที่หมายปองและเป็นต้นเหตุต้นตอของการแย่งชิงอำนาจ สัตว์หลายชนิดที่แม้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจก็ยอมต่อสู้กันจนตัวตาย ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่คุ้มระหว่างชีวิตกับอำนาจนั้นเลย
เพราะอำนาจมีความยิ่งใหญ่และมีอาณาประโยชน์ดังนั้นจึงเป็นที่หมายปองของเหล่าสัตว์ทุกชนิด อันใดก็ตามซึ่งเป็นที่หมายปองของสัตว์ทั้งหลายหรือคนทั้งหลาย แม้กระทั่งเทวดาทั้งหลาย อันนั้นย่อมมีความหอมหวานเย้ายวน ชักชวนจิตใจให้แสวงหาเพื่อให้ได้มา ดังนั้นแม้อำนาจโดยธรรมชาติจะไร้รส กลิ่น สี แต่ก็มีความหอม ความหวานอยู่ในตัว เป็นความหอมหวานที่ไร้สภาพ แต่เย้ายวนชวนจิตใจยิ่งกว่าความหอมหวานอย่างอื่น
เพราะเหตุนี้อำนาจจึงมีลักษณะเหนียวติดยึด เข้าใกล้ผูกพันหรือได้สัมผัสใช้สอยแล้วก็จะพึงใจปรารถนาในอำนาจนั้น กระทั่งไม่ยอมละวาง ยอมทำผิดทำชั่วทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้ครองอำนาจไว้ต่อไป
แม้บางครั้งกำหนดเวลาการใช้อำนาจถูกจำกัดด้วยกรอบแห่งกติกาใดๆ ก็ตาม แต่ความเย้ายวนหอมหวานแห่งอำนาจนั้นก็จูงใจคนให้ล่วงละเมิดกฎเกณฑ์กติกาทั้งหลาย เพียงเพื่อหวังให้ได้รักษาหรืออยู่ในอำนาจจนกลายเป็นเสียผู้เสียคนไปเป็นอันมาก
ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่าบรรดาความหอมหวานทั้งหลายในโลก ทั้งในส่วนเหนือโลก ใต้โลก ย่อมไม่มีสิ่งไหนหอมหวานเหมือนอำนาจนั้นเลย และเพราะเหตุนี้อำนาจจึงเป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งทำให้ติดยึดไม่อยากละไม่อยากวาง กระทั่งเป็นที่ตั้งของความหลงใหลจนทำให้คนจำนวนมากไม่ยำเกรงธรรม ไม่สนใจในธรรม กลับเห็นอำนาจเหนือกว่าธรรม อันเป็นที่ตั้งและสิ่งซึ่งดำรงไว้ซึ่งความสงบสุข
เพราะสภาพอำนาจที่หอมหวานและเป็นเป้าหมายแห่งการช่วงชิงเช่นนี้จึงเกิดความเสียดสีเสียดทานขึ้น จนเกิดความร้อนรุนแรงที่ไร้สภาพแฝงอยู่ในอำนาจนั้นระดับความร้อนแรงนี้ท่านว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าไฟประลัยกัลป์ที่สามารถเผาผลาญผู้ถืออำนาจ ผู้ใช้อำนาจ และผู้ได้รับผลแห่งอำนาจให้พินาศวายวอดไปในพริบตาก็ได้
เพราะอำนาจมีลักษณะเผาผลาญร้อนแรงดั่งไฟประลัยกัลป์ แต่ไร้สภาพ มองเห็นได้ยาก เข้าใจได้ยาก เพราะมายาแห่งอำนาจปกปิดบิดบังอันตรายของอำนาจนั้นไว้จนมิดชิด มารู้ตัวอีกทีก็ถูกเพลิงแห่งอำนาจเผาผลาญจนไหม้เป็นจุณไปแล้ว
ดังนั้นปราชญ์ท่านจึงพร่ำสอนในเรื่องของอำนาจไว้ว่า การจะมีและรักษาไว้ซึ่งอำนาจนั้นเป็นอันตรายต่อผู้ถือและผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจ ที่อาจพินาศไหม้เป็นจุณไปเมื่อใดก็ได้ หนทางแห่งความสวัสดีมีความมงคลย่อมบังเกิดได้ก็ด้วยธรรม
นั่นคือธรรมว่าด้วยการมี การรักษา และการใช้อำนาจ ที่ต้องเป็นไปโดยธรรม ธรรมที่ว่านี้ก็คือประโยชน์สุขของมหาชน และไม่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อความโลภเพื่อความโกรธ ความหลงของใคร จนกระทั่งท่านผูกเป็นโศลกคาถาว่าต้องครองอำนาจไว้โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน
ดังนั้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เถลิงสิริราชสมบัติ จึงทรงเปล่งพระปฐมบรมราชโองการด้วยบรมธรรมแห่งอำนาจให้ปรากฏไว้ในสามโลกว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ดังนั้นแผ่นดินในยุคสมัยของพระองค์ท่านจึงร่มเย็นเป็นสุข แม้บางช่วงเวลาเกิดยุคเข็ญตามสภาพเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่งอนัตตลักขณ์คือความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป ก็ยังคงทำให้ยุคสมัยของพระองค์ท่านร่มเย็นเป็นสุข พระบารมีแผ่ไพศาลไปทั่วสากลโลก
ทรงเป็นพระมหาราชเจ้าที่โลกยกย่องว่าแม้สองพระหัตถ์ไม่เคยกุมอาวุธในการประหัตประหาร แต่น้ำพระทัยนี้ทำให้พระองค์ได้ชัยชนะครองใจอาณาประชาชาวไทยและชาวโลก และสิ่งที่พระองค์ทรงพระราชทานไว้ก็คือ ยุทธวิธีสำหรับมวลมนุษย์ในการทำสงครามเอาชนะความยากจน
บัดนี้พระปัญญาทัศนะ พระบรมราโชบาย และพระราชอัชฌาสัยแห่งพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นก็ได้สืบทอดต่อยอดมาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
เหตุนี้เราทั้งหลายโดยเฉพาะบรรดาข้าราชบริพารข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคนจึงพึงทำความเข้าใจในเรื่องอำนาจ โดยกว้างโดยลึกดังพรรณนามานี้ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
หาไม่แล้วการปกครองแผ่นดินโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำจะขุ่นคลั่ก และจะกลายเป็นพิษเป็นภัยใหญ่หลวงต่ออาณาประชาราษฎร และจะร้อนถึงพระยุคลบาทในสักวันหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี