รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ได้เปิดเผยข่าวดีสำหรับชาวไร่อ้อย 140,000 ราย รับปีใหม่
เรื่องนี้ เป็นเรื่องทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อเนื่องจากสมัยรัฐบาลลุงตู่
1. รมว.อุตสาหกรรม พิมพ์ภัทรา ระบุถึงข่าวดีดังกล่าวว่า
“เรื่องนี้ต้องส่งข่าวไปยังพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยนะคะ 140,000 ราย กับยอดจำนวนพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
และตัวแทนสมาพันธ์ สมาคมชาวไร่อ้อยที่ได้ประสานงานพูดคุยกับปุ้ยและคณะทำงาน รวมทั้งผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกส่วนค่ะ มีการพูดคุยมาเป็นระยะจนได้ข้อเสนอที่สำคัญ
คือ การสนับสนุนให้มีการตัดอ้อยสดคุณภาพดี ในการลดปัญหาฝุ่น หรือที่เรียกกันติดปากไปแล้วว่า PM2.5 ที่เกิดขึ้นแทบทุกปี
มีวงเงินสนับสนุนตันละ 120 บาท
ปุ้ยได้นำเอาเรื่องนี้เข้าเสนอในการประชุม ครม.สัญจรวันนี้ค่ะ
การประชุมวันนี้ ปุ้ยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เสนอวาระพิจารณานี้ในการประชุมครม.สัญจรโดยได้อภิปรายหลักการเหตุผลที่สำคัญด้วยค่ะ
หลังจากมีการพิจารณาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเงินสนับสนุนตัดอ้อยสด ในโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอ
นั่นคือเกษตรกรพี่น้องชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท
มีชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 140,000 รายทีเดียว
ทั้งนี้ โครงการฯจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับต้นทุนการตัดอ้อยสดคุณภาพดี งดการเผาก่อนตัด และทำให้เฉลี่ยราคาอ้อยที่เกษตรกรได้รับจะสูงขึ้นอีกตันละ 120 บาท
วงเงินส่วนนี้ จะกระจายไปยังเกษตรกรราว 8 พันล้านบาทการสะพัดในพื้นที่ผลิตจะมีขึ้นอีกอย่างน้อย 8 พันล้านค่ะ
ปุ้ยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยทุกพื้นที่ ต้องขอบคุณ นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรีทุกท่าน ที่ได้กรุณาพิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นชอบค่ะ
การสนับสนุนในกรอบที่ได้มีมติจะทำให้ชาวไร่อ้อยจะมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยในขั้นตอนการควบคุมคุณภาพให้มีการตัดอ้อยสดคุณภาพดี
คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ค่ะ
อันนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับพี่น้องชาวไร่อ้อยรับปีใหม่นะคะ
ทุกคนคือกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์เศรษฐกิจของประเทศไทย ปุ้ยเชื่อมั่นค่ะ”
2. นับเป็นข่าวดีสำหรับชาวไร่อ้อย
จะช่วยทำให้ชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มเติม นอกจากการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานล่าสุด ที่เมื่อผ่านการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นน่าจะทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ ราคาอ้อย ฤดูการผลิตปี 2566/67 ได้มีการผลักดันให้มีราคาที่ 1,400 บาท/ต่อตันอ้อย (ต้นทุนการผลิตอ้อยของชาวไร่สูงขึ้น)
3. สำหรับมาตรการสนับสนุนการตัดอ้อยสด เพื่อลดการเผาอ้อยลดฝุ่น PM 2.5 นี้ ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่
ปรากฏผลดี เป็นที่น่าพอใจ เพราะปริมาณการเผาอ้อยก่อนตัด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สมัยก่อน เราจะเห็นการเผาอ้อย เพื่อให้สะดวกแก่การตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลทราย มากมายกว่าปัจจุบัน
ก่อให้เกิดมลภาวะฝุ่น PM2.5 บ้านเรือนในเขตไร่อ้อยมีฝุ่นละออง ตากเสื้อผ้าก็ดำปิ๊ดปี๋
โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคม-เมษายนของทุกปี
สมัยคณะรัฐมนตรียุคลุงตู่นั่นเอง ได้อนุมัติโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดเป็นกรณีเฉพาะเป็นการชั่วคราว วงเงินโครงการ 6,065 ล้านบาท ในฤดู 63/64
โครงการดังกล่าว มุ่งจูงใจเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ตัดอ้อยสดส่งโรงงานเท่านั้น
โดยในฤดู 63/64 จ่ายเงินช่วยในอัตรา 120 บาทต่อตันวงเงินรวม 5,934 ล้านบาท
วงเงินที่เหลือ จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ ธ.ก.ส. สำหรับชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของ ธ.ก.ส.บวก 1 และค่าบริหารจัดการรายละ 5 บาท วงเงิน 131 ล้านบาท
วิธีการรับเงิน ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีธนาคารของชาวไร่อ้อยทุกรายที่ตัดอ้อยสดส่งโรงงานโดยตรง โดยที่โรงงานจะต้องจัดส่งข้อมูลคู่สัญญาชาวไร่อ้อย พร้อมจำนวนตันอ้อยสดที่ส่งโรงงาน สำหรับหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อยซึ่งได้ดำเนินการรวบรวมอ้อยจากชาวไร่อ้อยรายย่อยส่งให้กับโรงงานต่างๆ นั้น จะต้องแสดงบัญชีรายชื่อชาวไร่อ้อยรายย่อยที่อยู่ในสังกัดพร้อมจำนวนตันอ้อยสด เพื่อที่ ธ.ก.ส. จะได้โอนเงินช่วยเหลือไปยังบัญชีธนาคารของชาวไร่อ้อยรายย่อยโดยตรง
นับว่า เป็นการมาตรการที่ทำอยู่แล้ว ทำอยู่ และทำต่อไปในรัฐบาลปัจจุบัน
การดำเนินการก่อนหน้านี้ มีการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยอยู่เดิมเช่น
ก่อนหน้านั้น ฤดูการผลิตปี 2562/2563 มาตรการนี้ สามารถลดพื้นที่การเผาอ้อยได้ 1.2 ล้านไร่
ปริมาณอ้อยไฟไหม้ลดลงจากร้อยละ 61.11 ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมดในฤดูการผลิตปี 2561/2562 เป็นร้อยละ 49.65 ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด
สะท้อนว่า การสร้างแรงจูงใจแบบนี้ ได้ผลดี
พิจารณาแนวโน้มของการแก้ปัญหาอ้อยไฟไหม้
ฤดูการผลิตปี 2561/2562 ปริมาณอ้อยไฟไหม้ร้อยละ 61.11ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด
ฤดูการผลิตปี 2562/2563 ปริมาณอ้อยไฟไหม้ร้อยละ 49.65 ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด
ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ก็ลดลงต่อเนื่อง
4. กระทรวงอุตสาหกรรม สมัยรัฐบาลลุงตู่ เคยชี้แจงว่า 120 บาทต่อตัน มาจากเงินส่วนต่างรายได้ค่าแรงต่อวันที่ชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดได้รับน้อยกว่าชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยไฟไหม้
กระทรวงการคลังเห็นชอบกับการช่วยเหลือในอัตรานี้
นี่คือข้อมูลเปรียบเทียบค่าแรงการตัดอ้อยสดและอ้อยไฟไหม้ (ข้อมูลเฉลี่ยทั่วประเทศ)
อัตราค่าแรงงานที่ผู้รับจ้างตัดอ้อยสดได้รับอยู่ที่ 425 บาทต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าอัตราค่าแรงงานที่ผู้รับจ้างตัดอ้อยไฟไหม้ได้รับที่ 675 บาทต่อวัน
ส่งผลให้ผู้รับจ้างตัดอ้อยสดจะได้รับค่าแรงต่อวันต่ำกว่าการรับจ้างตัดอ้อยไฟไหม้อยู่วันละ 250 บาท
ผู้รับจ้างตัดอ้อยสดจะต้องได้รับการช่วยเหลือด้านต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 250 บาทต่อวัน เพื่อให้ผู้รับจ้างตัดอ้อยสดได้รับค่าแรงเทียบเท่ากับผู้รับจ้างตัดอ้อยไฟไหม้
และเนื่องจากผู้รับจ้างตัดอ้อยสดสามารถตัดอ้อยได้วันละ 2.125 ตันการช่วยเหลือด้านต้นทุนเพื่อเป็นค่าจ้างตัดอ้อยสดจึงต้องอยู่ที่ตันละ120 บาท (เทียบเท่าค่าแรงต่อวันเพิ่มขึ้น 255 บาท)
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้รับจ้างตัดอ้อยสดได้รับค่าแรงเทียบเท่ากับผู้รับจ้างตัดอ้อยไฟไหม้
จะเห็นว่า เป็นมาตรการที่มีที่มาที่ไป มีการศึกษาอ้างอิงชัดเจน
และเป็นมาตรการที่มีผลดีสำเร็จเป็นรูปธรรม
สมควรสานต่ออย่างยิ่ง
เพราะเงินที่จ่ายไป ก็จ่ายเข้ากระเป๋าชาวไร่อ้อยนั่นเอง
แต่ที่ได้เพิ่มเติม คือ การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศของส่วนรวม โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี