คดีที่ดินตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ รุกป่าราชบุรี ยังคงยืดเยื้อ เนิ่นช้า ยังไปไม่ถึงศาลยุติธรรมสักที
เพราะอะไร?
1. ล่าสุด สำนักข่าวท็อปนิวส์ ติดตามตรวจสอบ ทราบว่า คดีอาญาฐานรุกป่าราชบุรี กรณีนายธนาธร ชนาพรรณ และแม่สมพร รวม 2 พันกว่าไร่นั้น ยังไปไม่ถึงชั้นศาลยุติธรรม
อัยการส่งสำนวนคดีคืนกลับมาให้พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.)
ขณะนี้ สำนวนยังอยู่ที่ ปทส.
มีรายงานว่า อัยการให้สอบสวนเพิ่มเติม และอาจไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางราย
2. ก่อนหน้านี้ การตรวจสอบของกรมป่าไม้พบว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.ชนาพรรณจึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือครอง น.ส. 3 ก ออกโดยมิชอบ
ครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี จำนวน 2,154-3-82 ไร่
โดยเป็น น.ส. 3 ก รวม 60 ฉบับ ในพื้นที่ต.รางบัว ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี
แบ่งเป็น
น.ส. 3 ก ในชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,940-3-93 ไร่
น.ส. 3 ก ในชื่อ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจพี่สาวนายธนาธร จำนวน 5 ฉบับ เนื้อที่ 132-0-22 ไร่
น.ส. 3 ก ในชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 2 ฉบับ เนื้อที่ 81-3-67 ไร่
3. ปัจจุบัน สถานะของที่ดินตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจข้างต้น ชัดเจนว่า ตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี โดยกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. 3 กไปแล้ว
ตัวอย่าง กรณีที่ดินในชื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจฝ่ายนายธนาธรยังไปฟ้องศาลปกครองกลาง
ปรากฏว่า ศาลปกครองกลางชี้ชัดว่า จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินของหน่วยงานต่างๆ ตามหลักวิชาการที่ดินประกอบกับเมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดิน มาตราส่วน 1 : 30,000 ระวาง 4836 II 5006 แล้ว
ศาลปกครองเห็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของนายธนาธร อยู่ในแนวเขตที่ดินซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2521 ได้กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” หมายเลข 85 และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1,069 (พ.ศ.2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก)
จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองกลางพิพากษาว่า คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ของนายธนาธร เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พูดง่ายๆ คือ ที่ดินนั้น รุกป่าจริงๆ
4. ส่วนกรณีนายธนาธร ศาลปกครองกลางให้กรมที่ดินจ่ายค่าเสียหายแก่นายธนาธร 4,912,311 บาท
เพราะเชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก) โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้รับความเสียหาย ไม่มีหลักฐานยืนยันว่านายธนาธรรู้หรือควรรู้ว่าที่ดินอยู่ในเขตป่า
แต่ประเด็นนี้ คำพิพากษาศาลปกครองกลางขัดแย้งกับแนวทางของตุลาการผู้แถลงคดี (เป็นตุลาการนอกองค์คณะ แถลงความเห็นส่วนตนเพื่อประกอบการพิจารณา)
ตุลาการผู้แถลงคดีเสนอความเห็นว่า การเพิกถอน น.ส. 3 ก นั้น ชอบแล้ว และยังชี้ด้วยว่า ไม่ต้องชดใช้
ค่าเสียหาย
“...ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 อ้างว่า ตรวจสอบในสารบบที่ดิน น.ส. 3 ก เลขที่ 159 ผู้รับมอบอำนาจจาก บริษัท ร. ซึ่งเป็นผู้ขาย กับ นาย ส. ผู้ซื้อต่างได้รับทราบว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจมีการเพิกถอนน.ส. 3 ก ที่ดินบริเวณนี้ได้ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับทราบและลงชื่อในบันทึกถ้อยคำฉบับวันที่ 12 ก.ย. 2528 ไว้ และนายธนาธรก็ไม่ได้โต้แย้งข้อมูลนี้
จึงฟังได้ว่า นาย ส. ขณะซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก แปลงพิพาทจาก บริษัท ร. รู้อยู่แล้วว่า ที่ดินอยู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอน น.ส. 3 ก และตามหลักการซื้อที่ดินแปลงใกล้เคียงที่มีการออกน.ส. 3 ก วิญญูชนย่อมรู้ว่ามีโอกาสที่ที่ดินจะถูกเพิกถอน เมื่อนาย ส. รู้ข้อมูลดังกล่าว แต่ยังซื้อที่ดิน เท่ากับนาย ส. สมัครใจ และยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ต่อมา นาย ส. ได้ขายที่ดินให้นายธนาธร แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายธนาธร รับรู้ว่าที่ดิน น.ส.3 กดังกล่าวอาจถูกเพิกถอนได้ แต่นาย ส. ทำงานมีตำแหน่งบริหารในกลุ่ม บริษัทไทยซัมมิทของครอบครัวนายธนาธร ซึ่งโดยปกติวิสัยของพนักงานบริษัทต้องไม่หลอกลวงปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อที่ดินดังกล่าวได้
ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้ไม่น่าเชื่อว่า นายธนาธรจะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต
ดังนั้น การที่ รองอธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งเพิกถอนน.ส. 3 ก แปลงที่พิพาท จึงไม่ถือเป็นการละเมิดต่อนายธนาธร และหน่วยงานรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายให้…”
ข้อมูลเพิ่มเติม ทราบว่า นาย ส. เป็นกรรมการบริษัทในเครือไทยซัมมิท และยังเคยบริจาคเงิน 7.5 ล้านบาทให้แก่พรรคอนาคตใหม่ ยอดเงินบริจาคเดือนธ.ค. 2562
ประเด็นนี้ จึงยังเป็นประเด็นที่อัยการสมควรอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุดต่อไป เพื่อมิให้รัฐต้องจ่ายเงินค่าเสียหายแก่เอกชน ทั้งๆ ที่ รัฐเป็นฝ่ายถูกบุกรุกป่า
ประเด็นว่านายธนาธรรู้หรือควรรู้ว่าที่ดินอยู่ในป่าหรือไม่? ยังมีข้อมูล ข้อเท็จจริง แนวทางข้อกฎหมายที่ฝ่ายหน่วยงานรัฐสามารถอุทธรณ์ต่อสู้ต่อไป
5. ประการสำคัญ น.ส. 3 ก 2 แปลงที่นายธนาธร ครอบครองนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน ติดกันหรือใกล้เคียงกันกับที่ดิน น.ส. 3 ก ที่มารดาและพี่สาวของนายธนาธรครอบครองอยู่
โดยทั้งแม่และพี่สาวของนายธนาธรต่างลงนามบันทึกรับรู้ทำนองว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนอาจถูกเพิกถอนได้ แล้วนายธนาธรจะไม่รู้หรือควรรู้จริงหรือไม่?
6. ที่ดิน 2 พันกว่าไร่ รุกป่าแน่ๆ แต่ทำไมยังไม่ยึดกลับมาเป็นของหลวง?
ข้อมูลต้นเรื่อง โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า(ศปก.พป.) โดยนายอดิศร นุชดำรง อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ และนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมคณะทำงานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รวบรวมร้องทุกข์กล่าวโทษ จนเป็นคดีอาญาในขณะนี้นั้น มีความชัดเจน ตรงไปตรงมา
เมื่อมีการฟ้องคดีเพิกถอน น.ส. 3 ก ไปที่ศาลปกครอง ศาลก็เชื่อถือข้อมูลการตรวจสอบของกรมที่ดิน ซึ่งอ้างอิงกับการตรวจสอบของกรมป่าไม้ด้วย
โดยปรากฏว่า ทั้งกรณีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจและกรณีน.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มีบันทึกถ้อยคำที่ผู้ซื้อที่ดินกับผู้ขายที่ดิน รับทราบต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ทำนองว่า น.ส.3 ก อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอนได้ภายหลัง แต่ยืนยันจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดิน
ตัวอย่างบันทึกถ้อยคำ ของ น.ส.ชนาพรรณจึงรุ่งเรืองกิจ วันที่ 19 มิ.ย. 2540 ระบุว่า
“ตามที่ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายได้ยื่นขอจดทะเบียนขายที่ดินแปลงเครื่องหมายข้างบนนี้ ข้าพเจ้าได้ตรวจบริเวณที่ดินแปลงนี้จากระวางรูปถ่ายทางอากาศ หมายเลข 4836 //แผ่นที่ 104 ซึ่งในระวางฯระบุว่า ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หมายเลข 85 และเจ้าหน้าที่แจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบแล้วว่า หลักฐาน น.ส. 3 ก ฉบับดังกล่าวอาจออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งต่อไปทางราชการอาจดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอนน.ส. 3 ก ได้ ซึ่งทำให้การซื้อขายที่ดินครั้งนี้เป็นโมฆะ ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบและเข้าใจดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนขายที่ดินให้ข้าพเจ้าครั้งนี้ได้ หากเกิดการเสียหายใดๆ ขึ้นเกี่ยวกับการนี้ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด”
ประการสำคัญ... นางชนาพรรณรับรู้ตามบันทึกตั้งแต่ 19 มิ.ย. 2540
ส่วนนายธนาธรซื้อที่ดินสองแปลงจากนาย ส. กรรมการเครือไทยซัมมิท เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2543
นายธนาธรตามมาซื้อภายหลัง แม้นายธนาธรจะไม่ได้เซ็นบันทึกคล้ายกัน แต่ที่ดินอยู่ในบริเวณเดียวกัน ติดกัน ใกล้กันกับพี่สาวและแม่ จะปกปิดข้อมูลกันหรือไม่? ก็ย่อมรู้หรือควรรู้หรือไม่? ตามความเข้าใจของวิญญูชน?
7. จนถึงวันนี้ อัยการอุทธรณ์คดีเพิกถอน น.ส. 3 กของนายธนาธรที่ศาลปกครอง หรือยัง?
เพื่อทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน ปกป้องมิให้รัฐต้องจ่ายเงินค่าเสียหายกว่า 4 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ รัฐเป็นฝ่ายถูกบุกรุกป่า
และจนถึงวันนี้ คดีอาญาฐานรุกป่า 2 พันกว่าไร่ ก็ยังไปไม่ถึงศาลยุติธรรม หลังอัยการตีสำนวนคืนมาที่พนักงานสอบสวน ปทส.
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี