วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เขียนให้คิด
เขียนให้คิด

เขียนให้คิด

เฉลิมชัย ยอดมาลัย
วันอาทิตย์ ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567, 02.00 น.
ไทยยุคปัจจุบันกับการเป็นอาณานิคมจีน

ดูทั้งหมด

  •  

เป็นเวลาประมาณ 10 ปีมาแล้วที่มีข่าวว่าเงินจากนักลงทุนจีนไหลเข้ามาในไทย แล้วกว้านซื้อกิจการต่างๆ ของไทยไปครอบครอง ทำให้พ่อค้าแม่ขายชาวไทย หรือแม้กระทั่งคนไทยเชื้อสายจีนต่างหมดหนทางทำมาค้าขายไปแล้วหลายร้อยหลายพันราย

ทุนจีนสารพัดชนิด ทั้งทุนจีนที่ไม่น่าจะผิดกฎหมาย และทุนจีนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ที่เรียกว่าทุนจีนสีเทาหลั่งไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น และมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนเข้มงวดกับการทำธุรกิจของคนจีนในประเทศจีนมากขึ้น ดังนั้น จึงทำให้คนจีนบางกลุ่มตั้งใจออกไปทำมาหากินนอกประเทศ ดังจะพบว่ามีคนจีนออกจากจีนไปทำมาค้าขายทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายในประเทศต่างๆ เช่น ไทย กัมพูชา ลาว รวมถึงอีกหลายประเทศในแอฟริกา


สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อหลายปีก่อน เราจะได้ยินว่าคนจีนเข้ามาทำธุรกิจล้งผลไม้ เช่น ล้งทุเรียน ล้งเงาะ ล้งลำไย และล้งมังคุด รวมถึงเข้าไปทำธุรกิจแพปลาอีกด้วย เพราะในยุคนั้นคนจีนจำนวนมากหลายสิบล้านคนนิยมเข้ามาเที่ยวในไทย เมื่อคนจีนแห่เข้าไทยมากขึ้น ก็ทำให้พ่อค้าจีนเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้นตามไปด้วย ดังเราจะพบว่ามีทัวร์ศูนย์เหรียญเกิดขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยการทยอยเข้ามาเปิดกิจการต่างๆ เช่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจบริการต่างๆ 

จนมาในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ จะพบว่าคนจีนเข้ามาเปิดร้านอาหาร ภัตตาคาร ร้านนวดSuper Market และร้านขายของต่างๆ ในเขตห้วยขวาง โดยเฉพาะบนถนนประชาราษฎร์อุทิศอย่างแน่นขนัด จนสองฝั่งถนนดังกล่าวมีแต่ร้านของคนจีน ทำให้ย่านดังกล่าวได้รับการกล่าวขานว่าเป็น New China Town 

แล้วมาในยุคปัจจุบัน จะพบว่าทุนจีนได้ขยายกิจการไปนอกย่านถนนประชาราษฎร์อุทิศ โดยกระจายไปบนย่านพระรามเก้า สุทธิสาร ดินแดง แล้วกระจายไปยังสำเพ็ง และเยาวราชด้วย

ถามว่าทุนจีนที่เข้ามาทำกิจการค้าขายต่างๆ นานาในไทย เป็นทุนที่ขาวสะอาดทั้งหมดหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะบางรายก็เป็นทุนสีเทา ที่มีกิจการผิดกฎหมาย อีกทั้งคนจีนที่เข้ามาเปิดกิจการในไทยในยุคนี้ไม่ได้ต้องการเข้ามาลงหลักปักฐานในไทยอย่างถาวรเหมือนกับชาวจีนในยุคโบราณ แต่คนจีนยุคใหม่ต้องการเข้ามาทำมาหากินแบบชั่วคราว เข้ามาทำธุรกิจแล้วขนเงินกลับไปประเทศจีน

เป็นเรื่องแสนมหัศจรรย์ที่คนจีนที่เข้ามาทำมาหากินในไทยในยุคนี้ หลายคนมีเพียงวีซ่านักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่สามารถเปิดร้านค้า และเปิดกิจการในไทยได้ สามารถซื้อตึกแถวได้ และสามารถทำกิจการการค้าได้ จนอาจจะกล่าวได้ว่าทุนจีนได้เข้ามายึดกิจการของไทยไปแล้วหลายพื้นที่ 

ถามว่าเรื่องเหล่านี้ รัฐบาลไทยไม่เคยเข้าไปตรวจสอบ ตรวจตราบ้างหรือ ทำไมปล่อยให้ทุนจีนที่ไม่ถูกกฎหมายเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นเขตที่อยู่ใกล้อำนาจรัฐมากที่สุด

ทำไมรัฐบาลไทยปล่อยให้เรื่องผิดกฎหมายเช่นนี้เกิดขึ้นได้ หรือเป็นเพราะว่ารัฐบาลไม่นำพากับเรื่องนี้หรือเพราะว่ารัฐบาลสนับสนุนให้ทุนจีนผิดกฎหมายเข้ามายึดกุมกิจการต่างๆ ของไทย แล้วทำให้คนไทยต้องหมดอาชีพไปในที่สุด เรื่องแบบนี้หากรัฐบาลเข้มงวดกวดขันจริงจัง รับรองว่าไม่มีทางที่ทุนจีนผิดกฎหมายจะเกิดขึ้นได้ และไม่มีทางที่ข้าราชการไทยบางจำพวกจะสามารถแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบกับทุนจีนผิดกฎหมายได้เป็นอันขาด

ไม่ใช่เรื่องผิดที่คนจีนอยากเข้ามาทำมาหากินบนแผ่นดินไทย หากเข้ามาโดยถูกกฎหมาย และไม่ได้เข้ามาเพื่อก่ออาชญากรรมใดๆ แต่ต้องบอกว่าทุกวันนี้มีทุนจีนผิดกฎหมายเข้ามาหากินบนแผ่นดินไทยมากมาย ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะว่ารัฐบาล (ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเท่านั้น) ไทยหละหลวม เลินเล่อ และเพิกเฉยกับการเข้มงวดกวดขันทุนจีนสีเทา  

คนจีนจำนวนไม่น้อยไม่มีใบอนุญาตทำงานในไทย บางคนมีเพียงวีซ่านักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เข้ามาเปิดร้านค้าในไทยโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (nominee) โดยจ้างคนไทยที่ไม่น่าจะมีเงินทุนเปิดร้านทำกิจการใดๆ เป็นตัวแทนอำพราง เช่น จ้างคนขับจักรยานยนต์รับจ้างในซอยต่างๆ จำนวน 3-4 คนให้เป็นนอมินี ถือหุ้นอำพรางจำนวนรวมกัน 51 เปอร์เซ็นต์ แล้วคนจีนเพียงคนเดียวถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ นั่นก็หมายความว่าคนจีนกลายเป็นผู้ถือหุ้นกิจการส่วนใหญ่ แม้จะไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องนับว่าเป็นหุ้นใหญ่กว่าคนไทยที่ถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์รวมกัน

คนจีนที่ใช้กลอุบายนี้ จะนำเงินกลับประเทศจีนเมื่อทำกิจการจนได้กำไรแล้ว และที่สำคัญคือเมื่อเปิดบริษัทในไทยได้แล้วก็จะขอใบอนุญาตทำงานในไทยต่อไป แล้วพำนักในไทยได้ยาวนานขึ้น โดยเปลี่ยนสถานะจากนักท่องเที่ยวเป็นผู้เข้ามาทำงานในไทย

ถามว่าคนจีนกลุ่มนี้ใช้เงินลงทุนมากน้อยเพียงใด ตอบได้ว่าใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเข้ามาทำกิจการในไทยแล้ว ก็ใช้กลอุบายขายของตัดราคา จนทำให้ผู้ค้าขายที่เป็นคนไทยในท้องที่ไม่สามารถขายของแข่งขันได้ อีกทั้งยังพบว่าคนจีนกลุ่มดังกล่าวใช้กลอุบายจ่ายค่าเช่าอาคารหรือแผงค้าขายแพงกว่าราคาเดิมที่คนไทยเช่ากัน เช่นพบว่าบางตึกแถวนั้น คนจีนยอมจ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 5 หมื่นบาทต่อเดือน ทั้งๆ ที่แต่เดิมค่าเช่าอยู่ที่ระดับ 2 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้น หรือบางตึกก็ถูกซื้อขายกันในราคา 16-17 ล้านบาท ทั้งที่ราคาขายเดิมอยู่ที่เพียง 12-13 ล้านบาทเท่านั้น นี่คือกลอุบายทำให้เกิดราคาค่าเช่า หรือค่าเซ้งตึกแบบฟองสบู่  

จากข้อมูลที่ได้จากผู้ค้าขายชาวไทยเชื้อสายจีนในย่านสำเพ็ง บอกกับผู้เขียนว่า ในระยะสองปีมานี้พบว่ามีทุนจีนไหลเข้าไปในย่านสำเพ็งมากขึ้น โดยเข้าไปซื้อตึกในราคาแพงกว่าปกติ หรือไม่ก็เข้าไปเช่าตึกในราคาแพงกว่าปกติ แล้วจ้างคนไทยหรือคนพม่าให้ขายสินค้าโดยยอมจ่ายค่าเช่าตึก 5 หมื่นบาท แต่ขายสินค้าเพียงราคาชิ้นละ 10-15 บาท แต่ที่น่าสังเกตคือเปิดร้านสายมาก เช่น เปิดเวลา 10 โมงเช้า แล้วปิดร้านช่วงบ่ายสองโมงซึ่งหากคิดกันตามจริงแล้วไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเช่าห้องแพงๆ แล้วขายของราคาชิ้นละไม่กี่บาท ซึ่งน่าสงสัยว่าเป็นการฟอกเงินหรือไม่ 

ถามต่อไปว่า ทำไมคนจีนจึงขายสินค้าราคาถูกแล้วยอมจ่ายค่าเช่าตึกในราคาแพงมากๆ คำตอบคือ เพราะเขาได้สินค้าราคาถูกมากๆ มาจากจีน แล้วรัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนด้วยการลดภาษีให้สินค้าจีนที่ถูกนำไปขายนอกประเทศจีน แถมรัฐบาลจีนยังสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าให้อีกด้วย ส่วนพ่อค้าแม่ค้าคนไทยต้องเสียภาษีให้รัฐบาลไทยในอัตราที่สูงกว่ารัฐบาลจีนเรียกเก็บจากพ่อค้าคนจีนที่เข้ามาค้าขายในไทย ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไทยค้าขายแข่งขันไม่ได้ จนสุดท้ายก็ต้องปิดกิจการไป

เมื่อพูดถึงปัญหานี้แล้วก็ต้องตั้งคำถามไปยังรัฐบาลไทยเหมือนเดิมว่า ตั้งใจปกป้องผลประโยชน์ให้คนไทยจริงหรือไม่ หรือรัฐบาลไทยสมยอม หรือสมรู้ร่วมคิดกับทุนจีน เมื่อรัฐบาลไทยไม่เอาจริงเอาจังกับการเข้มงวดกวดขัน ก็ทำให้ข้าราชการไทยที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบกับกลุ่มทุนจีนสีเทาได้โดยง่าย

นอกจากนี้ยังพบว่าร้านของคนจีนกลุ่มดังกล่าวยังขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก เพราะทำให้ต่างชาติมองเห็นว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์

นอกจากเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ด Gift Shop, Super Market ร้านอาหาร ร้านนวด ร้านทำเล็บและแผงขายของแล้ว ยังพบว่าคนจีนยังเปิดร้านขายดอกไม้แข่งกับคนไทยด้วย โดยไปเช่าที่ในย่านปากคลองตลาดเพื่อค้าขายแข่งกับคนไทย ทำให้พ่อค้าแม่ค้าขายดอกไม้คนไทยต่างบ่นว่าถูกคนจีนแย่งขายสินค้าจนทำให้ขายของได้ไม่ดีเหมือนสมัยก่อน

ไม่ใช่แค่ทุนจีนจะบุกเข้าไปครอบครองย่านการค้าในกรุงเทพฯตามที่ระบุข้างต้นเท่านั้น แต่ยังพบว่าทุนจีนยังบุกไปยึดพื้นที่ค้าขายบนเกาะสมุย พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่อีกด้วย

ก็ต้องถามคำถามเดิมๆ คือกรมการค้าภายใน และกรมพัฒนาเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมรัฐบาลและข้าราชการจึงปล่อยปละละเลยเรื่องนี้

รัฐบาลต้องการทุนจีนมากเสียจนละเลยเรื่องความถูกต้องกระนั้นหรือ หรือรัฐบาลไม่สนใจเรื่องทุนจีนสีเทาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ค้ามนุษย์ และประเด็น
ยาเสพติด รัฐบาลต้องการเงินทุนจากจีนโดยไม่สนใจความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติหรือ

ต้องบอกว่าทุกวันนี้ทุนจีนเข้ามาครอบครองกิจการต่างๆ ของไทยโดยไม่เว้นแม้กระทั่งการเข้ามาซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนของไทยไปแล้วกว่า 10 แห่ง

รัฐบาลยินดีจะให้ประเทศไทยเป็นดินแดนในอาณัติหรือเป็นอาณานิคมสมัยใหม่ของทุนจีนใช่หรือไม่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
20:42 น. มิตรภาพแน่นแฟ้น! 'ปูติน-สี จิ้นผิง'ร่วมชมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะ
20:34 น. อดทนต่อคำปรามาส! 'นิพิฏฐ์'ขอบคุณทุกฝ่าย ยืนหยัดต่อสู้'คดีชั้น 14'
20:17 น. มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 9-15 พ.ค.68
20:16 น. (คลิป) แนวหน้าTAlk : 'กูพูดไม่ได้' ย้อนอดีตเพื่อนรัก สุรนันทน์ ถึง บุญทรง
20:13 น. เพลิงไหม้วอด! กระบะยางแตก พุ่งลงข้างทางมอเตอร์เวย์ M6
ดูทั้งหมด
ภาพอบอุ่นใจความรักที่งดงามของ 'กษัตริย์จิกมี-สมเด็จพระราชินี-เจ้าชาย-พระธิดา' ในยามค่ำคืนของทะเลทรายโกบี
(คลิป) 'ฐปณีย์' เละคาบ้าน! ด้อยค่าคนไม่เห็นด้วย 'เมียจ่าปืน' ออกโรงตอกกลับไม่ใช่ IO
‘ลาออก’ไปเถอะ! ฉะ‘นายกฯ’มีสติปัญญาแค่นี้ แผ่นเสียงตกร่องชู‘กาสิโน’แก้เศรษฐกิจ
หยามเกียรติธงชาติไทย! ทนายแจ้งเอาผิด โพสต์เฟสบุ๊คดูหมิ่น'ธงคือผ้าเช็ดเท้า'
มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 4-10 พ.ค.68
ดูทั้งหมด
อวสาน‘ทักษิณ’คุกรออยู่
ความต่างของ สิงคโปร์ กับ ไทย
คุกนรก (1)
นักการเมือง ‘ส้มสารพิษ’
บุคคลแนวหน้า : 9 พฤษภาคม 2568
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

มิตรภาพแน่นแฟ้น! 'ปูติน-สี จิ้นผิง'ร่วมชมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะ

อดทนต่อคำปรามาส! 'นิพิฏฐ์'ขอบคุณทุกฝ่าย ยืนหยัดต่อสู้'คดีชั้น 14'

สุดกลั้น! 'นุ่น ดารัณ'เปิดบทเรียนเข้มงวดจนลูกหนีออกจากบ้าน

(คลิป) แนวหน้าTAlk : 'กูพูดไม่ได้' ย้อนอดีตเพื่อนรัก สุรนันทน์ ถึง บุญทรง

ปตท. ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มแหล่งอาทิตย์เสริมความมั่นคงพลังงานไทย

มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 9-15 พ.ค.68

  • Breaking News
  • มิตรภาพแน่นแฟ้น! \'ปูติน-สี จิ้นผิง\'ร่วมชมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะ มิตรภาพแน่นแฟ้น! 'ปูติน-สี จิ้นผิง'ร่วมชมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะ
  • อดทนต่อคำปรามาส! \'นิพิฏฐ์\'ขอบคุณทุกฝ่าย ยืนหยัดต่อสู้\'คดีชั้น 14\' อดทนต่อคำปรามาส! 'นิพิฏฐ์'ขอบคุณทุกฝ่าย ยืนหยัดต่อสู้'คดีชั้น 14'
  • มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 9-15 พ.ค.68 มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 9-15 พ.ค.68
  • (คลิป) แนวหน้าTAlk : \'กูพูดไม่ได้\' ย้อนอดีตเพื่อนรัก สุรนันทน์ ถึง บุญทรง (คลิป) แนวหน้าTAlk : 'กูพูดไม่ได้' ย้อนอดีตเพื่อนรัก สุรนันทน์ ถึง บุญทรง
  • เพลิงไหม้วอด! กระบะยางแตก พุ่งลงข้างทางมอเตอร์เวย์ M6 เพลิงไหม้วอด! กระบะยางแตก พุ่งลงข้างทางมอเตอร์เวย์ M6
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

4 พ.ค. 2568

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

27 เม.ย. 2568

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

20 เม.ย. 2568

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

13 เม.ย. 2568

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

6 เม.ย. 2568

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

30 มี.ค. 2568

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

23 มี.ค. 2568

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

16 มี.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved