น่าสงสัยว่า ผู้คนที่เคยตะแบงปกป้องม็อบ 3 นิ้ว และพวก
อ้างว่า ไม่ใช่ม็อบที่โจมตีบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ป่านนี้ ควรจะตาสว่างได้แล้ว
เพราะหลายเหตุการณ์ แกนนำหลายคน มีพฤติกรรมปราศรัยดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือข่มขู่อาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง
โดยศาลยุติธรรรมได้มีคำพิพากษาชี้ขาด มีหลักฐานประจักษ์ชัด ว่าเป็นการหมิ่นประมาทให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์
แล้วยังจะตะแบงแก้ตัว หลับหูหลับตาให้ท้ายม็อบ 3 นิ้วและพวก ได้อย่างไร
ล่าสุด เมื่อวานนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 3 ปี “มายด์” ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล กระทำผิดมาตรา 112 ก่อนลดเหลือ 2 ปี - รอลงอาญา
1. คดีนี้ อัยการยื่นฟ้องภัสราวลีเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 กล่าวหาว่าการชุมนุม เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 ที่บริเวณแยกราชประสงค์ คำปราศรัยของจำเลยทำให้บุคคลที่ได้ฟังเข้าใจได้ว่ารัชกาลที่ 10ทรงต้องการขยายพระราชอํานาจตามอําเภอใจ ทรงกําลังสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, ทรงแยกกองทัพออกไปเป็นของพระองค์เอง ทรงใช้พระราชอํานาจเข้าไปแทรกแซงการเมืองและการปกครอง ทรงนําทรัพย์สมบัติของชาติไปเป็นของพระองค์เอง อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สาม
ภายหลังถูกฟ้อง มายด์ได้รับการประกันตัวในระหว่างพิจารณาคดี
มีการสืบพยานไปทั้งหมด 6 นัดในระหว่างช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566
ฝ่ายโจทก์ได้นำพยานเข้าเบิกความจำนวน 13 ปาก
โดยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้กล่าวหา 1 ปาก, ประชาชนผู้กล่าวหา 2 ปาก, ตำรวจฝ่ายสืบสวน 2 ปาก, นักวิชาการและอาจารย์ผู้ให้ความเห็น 2 ปาก, ประชาชนผู้ให้ความเห็น 2 ปาก และพนักงานสอบสวน 4 ปาก โดยยืนยันว่าคำปราศรัยของจำเลยเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ซึ่งพยานผู้ให้ความเห็นต่างเบิกความว่า คำปราศรัยทั้ง 3 ประเด็นของจำเลยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งยังบิดเบือนใส่ร้ายในหลวงร.10 ทำให้คนที่ได้รับฟังเกิดความเกลียดชังในตัวพระองค์
ส่วนจำเลยนำพยานเข้าเบิกความ 2 ปาก คือ ตัวจำเลยเอง และเจ้าหน้าที่จากโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
โดยอ้างว่า ตนเพียงต้องการพูดถึงข้อกังวลที่ถูกพูดถึงในสังคมเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย โดยมีเจตนารมณ์เพียงอย่างเดียวคือต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออก เพื่อคงไว้ซึ่งความเคารพศรัทธาในตัวสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งคำปราศรัยยังเป็นไปโดยสุภาพ ไม่มีถ้อยคำหยาบคาย
จะเห็นว่า คดีนี้ มายด์ได้ประกันตัวต่อสู้คดี ไม่ได้เป็นเหมือนที่นำไปปั่นกระแสว่าผู้ต้องหา112ไม่ได้รับการประกันตัว
และฝ่ายจำเลย ก็ได้นำพยานเข้ามาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
2. เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาว่า จำเลย (มายด์) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความปราศรัยของจำเลยเป็นการกล่าวให้กษัตริย์เสื่อมเสีย
และแม้จำเลยจะต่อสู้ว่าการปราศรัยของจำเลยมีเจตนาเพื่อต้องการจะแนะนำและตักเตือนสถาบันกษัตริย์ให้ธำรงอยู่ในความเหมาะสม โดยมีพยานหลักฐานเป็นเอกสารอ้างอิงมาต่อสู้ในชั้นศาล แต่จำเลยย่อมนำเอกสารต่างๆ ไปอ้างอิงในการกล่าวปราศรัยได้ และไม่มีเหตุจำเป็นต้องปราศรัยให้กษัตริย์เสื่อมเสีย การกระทำของจำเลยทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในสถาบันกษัตริย์
ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี
พิเคราะห์แล้วจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และกำลังศึกษาอยู่ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี
3. ประเด็นข้ออ้างว่า พูดอย่างสุภาพ ทำไมมีความผิด?
พึงสังวรว่า มีความผิด เพราะพูดเท็จ ให้ร้ายสถาบัน เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์
แม้จะพูดสุภาพ แสดงท่าทีนอบน้อม แต่เนื้อหาการพูด หากพูดเท็จ ให้ร้ายสถาบัน เข้าข่ายดูหมิ่น หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมมิใช่ความเห็นต่าง แต่เป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112
คดีนี้ จําเลยปราศรัยว่า “ทรัพย์สมบัติของชาติที่ท่านเอาไป ปัจจุบันอยู่ในนามของท่านก็ขอโอนกลับสู่ประชาชนเสียโดยไว” ฯลฯ
ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หนึ่งในพยานผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคำปราศรัย เบิกความว่า มีข้อความที่หมิ่นองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” และเป็นความผิดตาม มาตรา 112 อีกด้วย
ศูนย์ทนายฯ ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดว่า พนักงานสอบสวนได้ให้พยานขีดเส้นใต้ข้อความที่คิดว่าเป็นการหมิ่นฯ และให้เขียนเลขที่บรรทัดกำกับไว้ด้วย
“...โดยที่จำเลยกล่าวหาว่า การขยายพระราชอำนาจเพื่อให้กษัตริย์ทำตามอำเภอใจ คือการขยับห่างออกจากความเป็นกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เป็นการกล่าวหาว่าพระเจ้าแผ่นดินกระหายอำนาจ ต้องการขยายอำนาจ นอกจากนี้ยังไร้เหตุผล เพราะทำตามอำเภอใจ และยังโจมตีว่าทรงไม่เป็นประชาธิปไตย ครองตนด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นประมุข ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่มีหลักฐานและเป็นการดูหมิ่น
พยาน (ดร.อานนท์) เห็นว่า การกล่าวหาว่าพระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจนั้นไม่เป็นความจริง เพราะท่านทรงใช้อำนาจตาม มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” โดยการกระทำใดที่เป็นราชการแผ่นดินนั้นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส่วนการใดที่เป็นราชการส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อันเป็นไปตาม มาตรา 182 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีหลักการในการใช้พระราชอำนาจว่า “The King Can Do No Wrong” ดังนั้น สิ่งที่กล่าวหาว่าทรงขยายพระราชอำนาจจึงไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้ การกล่าวหาว่าทรงพยายามกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการดูหมิ่นว่า ทรงคร่ำครึและทรงโลภ ไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ข้อความที่จำเลยกล่าวว่า “ท่านต้องการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงหรือเปล่า เรื่องนี้ท่านต้องคิดดู” เป็นข้อความที่เป็นเท็จ และเป็นการดูหมิ่น เพราะในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านทรงจบนิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ดังนั้น จึงเป็นนักกฎหมายผู้หนึ่ง การกล่าวหาว่านักกฎหมายทำการละเมิดกฎหมาย เป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง
ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงแยกกองทัพไปเป็นของตัวเอง และทรงแทรกแซงอยู่เบื้องหลังกลุ่มก้อนทางการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจที่ทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองพยานเห็นว่าไม่เป็นเรื่องจริง เนื่องจากหน่วยราชการในพระองค์จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญโดยอาศัยพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560
ในหน่วยราชการในพระองค์ประกอบด้วย 3 หน่วยงาน คือ 1.สำนักงานองคมนตรี 2.สำนักพระราชวัง 3.หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ตามมาตรา 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งตามกฎหมาย มีหน้าที่ในการวางแผน อำนวยการ ประสานงาน บังคับบัญชา ควบคุม และกำกับดูแลการปฏิบัติงานในการถวายอารักขา และถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ และบุคคลอื่นตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ทางพระราชพิธีตามที่ได้รับมอบหมาย และการรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการถวายรักษาความปลอดภัย ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.ก. นี้จะเห็นได้ว่าหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ไม่ได้มีหน้าที่รบทัพจับศึก หรือทำหน้าที่เป็นกองทัพส่วนพระองค์ ทั้งนี้ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ มีบุคลากรเพียง 8,000 นาย ขณะที่กองทัพไทยมีบุคลากรนับแสนนาย การกล่าวหาว่าเป็นกองทัพส่วนพระองค์จึงเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย
นอกจากนี้การโอนอัตรากำลังพลที่จำเลยกล่าวถึง ยังเป็นไปตาม พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ซึ่งอาศัยอำนาจตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 172 ในการโอนกำลังพลและงบประมาณของหน่วยงานดังกล่าว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เจตนารมณ์ของกฎหมายได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งเป็นการโอนหน่วยงานที่กระจัดกระจายเกี่ยวกับการดูแลพระองค์เข้ามาอยู่ด้วยกันเพื่อให้เกิดเอกภาพในการบังคับบัญชา เนื่องจากแต่เดิมหน่วยงานเหล่านี้มีผู้บังคับบัญชา แต่มาถวายงานองค์พระมหากษัตริย์ แต่พอรวมมาเป็นหนึ่งหน่วยงานก็จะมีผู้บังคับบัญชาคนเดียว ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ส่วนที่กล่าวหาว่า ทรงแทรกแซงทางการเมืองนั้น ก็เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง เพราะองค์พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงอยู่เหนือการเมือง ซึ่งเป็นเช่นนี้ตั้งแต่รัชกาลที่ 7 จนถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ประกาศสถาบันพระมหากษัตริย์ ฉบับลงวันที่ 8 ก.พ. 2562 ซึ่งอธิบายรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ว่าองค์พระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในสถานะที่ล่วงละเมิดไม่ได้ ต้องทรงอยู่เหนือการเมือง และเป็นการอธิบายประกาศพระบรมราชโองการ คือ ห้ามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ทรงตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครอง ดังนั้นข้อกล่าวหานี้จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงและหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์
ที่จำเลยปราศรัยว่าเกี่ยวกับโอนทรัพย์สมบัติของชาติ ไปเป็นของส่วนพระองค์ พยานเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ และใส่ร้ายว่าฉ้อโกง แย่งชิงทรัพย์สินของประชาชนไปเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นการดูหมิ่นอย่างชัดเจน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ไม่ได้เป็นการปฏิวัติบอลเชวิค ดังนั้น ทุกคนยังสามารถถือครองทรัพย์สินเป็นของตนเองได้อยู่ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เป็นของท่านเช่นเดิม และ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ยังระบุไว้อย่างชัดเจนและแสดงหลักกรรมสิทธิ์ว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์และส่วนพระมหากษัตริย์ยังเป็นขององค์พระมหากษัตริย์เช่นเดิม เพราะ มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้บัญญัติว่า “รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 5 วรรค 2 นั้น จะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่เป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศล เหล่านี้เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วเท่านั้น” ตามมาตรา 6 วรรค 2 นั้นเป็นการแสดงหลักกรรมสิทธิ์ เพราะว่าผู้ที่สามารถใช้จ่าย จากกำไร ดอกผลทั้งหมดของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ใช้ได้แต่องค์พระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย แสดงว่าทรงเป็นเจ้าของ
เช่นเดียวกับ มาตรา 7 “ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 6 ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะโอนหรือจำหน่ายได้ก็แต่เพื่อประโยชน์ขแก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และโดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือเพื่อสาธารณประโยชน์อันได้มีบทกฎหมายให้โอนหรือจำหน่ายได้เท่านั้น” เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธิ์จำหน่ายจ่ายโอนได้ผู้เดียว
หลักดังกล่าวยังคงอยู่ใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ที่ยังคงหลักกรรมสิทธิ์เช่นเดิม ทั้งในทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ใน มาตรา 5 และ 6 เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 ก็ยังคงหลักการในเรื่องกรรมสิทธิ์ดังกล่าว
ดังนั้น การกล่าวหาว่าเป็นการแย่งชิงสมบัติของประชาชนไปเป็นส่วนตัวจึงเป็นความเท็จ ทำให้ประชาชนมองว่าพระมหากษัตริย์ทรงโลภและฉ้อโกง อันนำไปสู่ความเกลียดชัง
และที่จำเลยกล่าวว่า “ท่านจะขยายพระราชอำนาจไปจนสุดขอบฟ้าเพื่ออะไรและเพื่อใคร” พยานเห็นว่าเป็นการกล่าวหาว่าทรงกระหายอำนาจ และขยายพระราชอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอันจะทำให้ประชาชนไม่ชอบ ซึ่งเป็นการดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์
ในตอนท้ายของคำปราศรัยที่จำเลยมีการอ่านกลอนซึ่งมีข้อความว่า “มุ่งหมายตามล่าล้างดุจมิใช่คน หมายมุ่งปราบมวลชนลูกหลาน จบแล้วซึ่งอดทนกดขี่ ทวยราษฎร์เลิกหมอบกราบ หมดสิ้นกษัตรา … ” เป็นข้อความที่กล่าวหาว่าพระองค์ทรงโหดร้าย ปราศจากความเมตตา ต้องออกหมายมุ่งล่าสังหารชีวิตผู้คน กดขี่ข่มเหง อันเป็นการดูหมิ่น และไม่ตรงกับความเป็นจริง
พยานยืนยันว่า ข้อความทั้งหมดที่พยานให้ความเห็นไปเป็นความผิดตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112...”
จะเห็นว่า การอ้างว่าพูดอย่างสุภาพนั้น ไม่ได้ช่วยให้พ้นผิดไปได้ หากเนื้อหาการพูดนั้น เป็นการให้ร้าย ดูหมิ่น หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์
เลิกตะแบง เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว
หยุดหาแสงด้วยการหมิ่นสถาบัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี