วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ตอนที่พระยาพหลฯ ตกลงใจรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนำคณะทหารเข้ายึดอำนาจซ้ำในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นั้น ท่านได้แสดงเจตนาให้เป็นที่ทราบทั่วกันว่าท่านขอดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลประมาณ 10 ถึง 15 วันเท่านั้น ดังนั้นในวันที่ 2 กรกฎาคมท่านจึงได้มี หนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 แต่ปรากฏว่าในวันที่ 3 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตถเลขาถึง พระยาพหลฯ ความว่า
“ตามหนังสือท่านลงวันที่ 2 เดือนนี้ขออนุญาตลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุผลหลายประการนั้น ได้รับทราบแล้ว ข้าพเจ้าขอชี้แจงตอบดั่งต่อไปนี้
1.หนึ่งที่ท่านว่าหย่อนความรู้ในทางกฎหมายแก่การเมือง ไม่สันทัดเจนพอที่จะเป็นผู้นำประเทศชาติให้บรรลุผลอันดีนั้นหาใช่สำคัญแท้นักไม่ เพราะท่านได้มีที่ปรึกษาและรัฐมนตรีผู้ทรงวิทยาคุณในทางนี้ช่วยเหลือแนะนำอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งของนายกรัฐมนตรีก็คือเป็นผู้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนพลเมือง และเป็นผู้ที่สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจคนทั้งหลายประสานสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ช่วยให้ราชการดำเนินไปด้วยดีปราศจากอุปสรรค เป็นประโยชน์ดีงามแก่ชาติบ้านเมือง ในเวลาบัดนี้จะหาผู้ใดนอกจากตัวท่านที่จะบริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติดั่งว่ามานี้ยากนัก
2.ที่ท่านว่าต้องทำหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบก มีภารกิจต้องกระทำมากอยู่แล้ว เมื่อต้องมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ทำให้มีภาระเพิ่มมากขึ้นนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นใจท่านอยู่ แต่เห็นว่าในทางทหารท่านมีผู้ช่วยที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาทหารหลายคน พอจะแบ่งภาระของท่าน ไม่ถึงแก่เหลือบ่ากว่าแรงนัก
3.ที่ท่านวิตกว่าการที่มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกจะทำให้คนทั้งหลายครหาได้ว่า ประเทศสยามปกครองโดยอำนาจทหารนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่ควรวิตก เพราะเวลานี้ยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดกล่าวหาหรือสงสัยไปในทางนั้นเลย แม้แต่พวกหนังสือพิมพ์ซึ่งถือว่าเป็นปากเสียงของประชาชน และซึ่งในเวลานี้มีอิสรภาพและเสรีภาพในการพูดยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็ไม่ปรากฏว่ามีเสียงระแวงในทางนี้เลย
4.ที่ท่านว่าได้กล่าวแก่ผู้แทนราษฎรในสภาและ หนังสือพิมพ์ว่า ท่านจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 10-15 วันนั้น ท่านได้มีหนังสือมาขอลาออกลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจริงตามที่กล่าวไว้แล้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าท่านจะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปโดยคำขอร้องของข้าพเจ้า ก็ไม่เชื่อว่าท่านเสียสัตย์แต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นอย่างใด ที่ท่านจะต้องลาออก จึงมีความเสียใจที่จะอนุญาตไม่ได้และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ความเรียบร้อยของชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป”
ในวันเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชหัตถเลขา ไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร มีความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าจึงไม่ยอมรับลา และขอร้องให้คงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป และขอบอกมาให้ท่านทราบด้วยหวังว่า สภาผู้แทนราษฎรจะมีความเห็นพ้องด้วยข้าพเจ้า และสนับสนุนคำขอร้องของข้าพเจ้านี้ด้วย”
ดังนั้น เจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 เมื่อเปิดประชุม ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้อ่านพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีมาถึงประธานสภา ให้ที่ประชุมได้ทราบ ได้มี
ผู้อภิปรายสนับสนุนพระยาพหลฯ และท้ายที่สุดได้มีมติให้ท่านเป็นนายกฯต่อไปด้วย
นรนิติ เศรษฐบุตร

'เก้า นพเก้า'สร้างเรื่อง! เพราะความหล่อเป็นเหตุ
‘ผู้การฯสิงห์บุรี’ร่วมมอบสิ่งของพระราชทาน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯแก่ผู้ประสบอัคคีภัย
มติ‘วุฒิสภา’ฟัน‘นันทนา’ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปมด้อยค่า‘สว.แม่ค้าขายหมู’ ส่งต่อ ป.ป.ช.ดำเนินการ
ทรงพระเมตตา 'สมเด็จพระพันปีหลวง' เปลี่ยนชีวิต 'น้องหมิว' บัณฑิตจิ๋ว
มหาสารคามคึกคัก! แม่ค้าเสื้อผ้ามือสองจัดเต็ม ‘เสื้อดำหลักสิบ’ ช่วย ปชช.ประหยัดเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี