วันพรุ่งนี้ ศาลรัฐธรรมนุญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล จากพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง
ยุบพรรค หรือไม่ยุบ ?
คำตอบอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยชี้ขาดถือเป็นที่สุด มีผลผูกพันทุกองค์กร
1. พรรคก้าวไกล ได้แถลงข่าวชี้นำ กดดันศาลรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง
ให้ข้อมูลบิดเบือนชี้นำสังคม กล่าวหาการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและ กกต.
มีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ
และยังอาศัยสถานะของเจ้าหน้าที่ทูตต่างชาติที่เล็งเห็นประโยชน์ทางการเมืองร่วมกับพรรคก้าวไกลและแนวร่วมม็อบสามนิ้ว ในการชี้นำกดดันศาลด้วย
ล่าสุด รัฐสภาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือ APHR ได้ออกแถลงการณ์ อ้างว่ากังวลในประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะพยายามปิดปากฝ่ายนิติบัญญัติด้วยการใช้ศาลเป็นอาวุธ
APHR ระบุว่า มีข้อบ่งชี้ว่าคำพิพากษาในวันที่ 7 ส.ค. 2567 อาจจะไม่เป็นคุณต่อพรรคก้าวไกล เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าการแก้ไข เป็นความพยายามที่จะโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ
“ในแง่ของสถานการณ์เหล่านี้ เราขอเรียกร้องให้ตุลาการไทยรักษาความเป็นอิสระและพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมาของอภิสิทธิ์ของสภานิติบัญญัติที่เกินขอบเขตอาจมีต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดจนชื่อเสียงในระดับสากล” นางเมอร์ซีย์ บาร์เรนด์ ประธาน APHR และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอินโดนีเซียกล่าว
2. อันที่จริง พรรคก้าวไกลถูกยื่นยุบพรรค เพราะก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมติเอกฉันท์ ว่านายพิธาและพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองฯ
พรรคก้าวไกลเคยได้รับโอกาสที่ดีในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มี สส. จากการเลือกตั้งมากถึง 151 เสียง แต่เมื่อไม่เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องแสวงหาพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งปรากฏว่า ในบรรดาพรรคการเมืองที่มาจับมือสนับสนุนช่วงแรกนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเอาด้วยกับแนวทางที่จะไปแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และในที่สุด นายพิธายืนยันเรื่องท่าทีแนวทางต่อเรื่องมาตรา 112 แถมประกาศจะจัดวางพระราชสถานะและพระราชอำนาจใหม่ ในที่สุด ก็ได้คะแนนจากรัฐสภาไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
สุดท้าย พรรคก้าวไกลก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน และอาจจะถูกยุบพรรคเพราะพฤติการณ์เคลื่อนไหวแก้ไขหรือล้มล้างมาตรา 112 ซ่อนเร้นเจตนาที่แท้จริงในการกัดกร่อน บั่นเซาะ บ่อนทำลาย ลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ สนับสนุนกลุ่มล้มล้างมาตรา 112 และผู้กระทำผิดมาตรา 112 เข้าข่ายใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลมีจุดเด่นเรื่องการใช้สื่อโซเชียล ร่วมกับอินฟลูฯในเครือข่าย
ในการปั่นกระแส สร้างภาพลักษณ์ สร้างวาทกรรมที่เป็นบวกแก่ตนเอง และโจมตีฝ่ายตรงข้าม
แต่เวลาผ่านไป ความจริงเริ่มปรากฏ น้ำลดตอเริ่มผุด เลือกตั้งท้องถิ่นก็แพ้ราบ
ภาพลักษณ์ที่สร้างว่าเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ การเมืองใหม่ หัวใหม่ เก่งกล้าสามารถ ความจริงก็ค่อยๆ ปรากฏว่าไม่ตรงปก
การพูดเพื่อปั่นกระแส จะพูดสุดโต่งอย่างไร เอาให้สะใจแค่ไหน ใครก็พูดได้ แต่ในโลกความเป็นจริง ทำไม่ได้ หรือถ้าทำจริง ก็จะมีความเสียหายระดับหายนะ
จำได้ไหม.. นายพิธาก็ยอมรับด้วยตนเองแล้ว ว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพรวดเดียวเลยทันทีเมื่อครั้งจะเข้าเป็นนายกฯ
สส. ก้าวไกล เล่นการเมืองไม่ต่างจากนักการเมืองน้ำเน่า เล่นเกมล่มการประชุมสภา มีทั้ง สส. หนีทหาร ก้าวกาม ซิกแซกเงินสนับสนุนจากรัฐ หมกมุ่นกับการโจมตีด้อยค่าสถาบัน ช่วยคนทำผิด 112 และหลายเรื่องที่เคยป่าวประกาศปั่นกระแส
เช่น วัคซีนเทพ ไฮเปอร์ลูป เรือประมงแทนเรือรบ แนวทางปฏิปักษ์กับจีน โปรสหรัฐสุดลิ่ม ฯลฯ
สุดท้าย ล้วนพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แค่โหนไปตามกระแส
เหมือนวิถีของอินฟลูฯในโลกโซเชียล ซึ่งเหมาะที่จะเล่นสนุกในโซเชียล แต่เป็นเพียงเด็กเล่นขายของในโลกที่ต้องรับผิดชอบประเทศชาติและชีวิตผู้คนจริงๆ
สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็ง เมื่อผู้ที่เคยสนับสนุนตาสว่าง แรงสนับสนุนก็จะหายไป
เหมือนบางยุคที่คนเห่อของใหม่เป็นพักๆ เพราะเดี๋ยวก็มีของใหม่กว่า
เป็นการสร้างดีมานด์เทียม จากการปั่นกระแส สร้างภาพฟองสบู่คนรุ่นใหม่ แถมเล่นผิดกติกาซ้ำซาก ไร้สาระ ไร้ประโยชน์
แถมพาคนไปติดคุกระนาว
นับถอยหลังสู่จุดจบ
3. ดร.ศุภณัฐ Suphanat Aphinyan ได้ตอบโต้ถ้อยแถลงชี้นำบิดเบือนของพลพรรคก้าวไกล
ว่าด้วยเรื่อง “ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของพรรคก้าวไกล” ระบุว่า
“ข้อ 1. ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยยุบพรรคได้อย่างไรในเมื่อมีการบัญญัติไว้ใน พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ผ่านมาก็มีการยุบพรรคที่ทำผิดให้เห็นๆ กันอยู่ แล้วถ้าพรรคก้าวไกลทำผิด ทำไมจะยุบไม่ได้?
ข้อ 2. ถ้าคิดว่าคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พรรคก้าวไกลก็ต้องดำเนินการเอาผิดกับ กกต. ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถนำมาแถให้พรรค
ก้าวไกลพ้นผิดไปได้
ข้อ 3. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรและคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ก็มีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะสืบเนื่องมาจากการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ก็แค่นำมาวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรยุบหรือไม่ ไม่ใช่ข้อหาที่แตกต่างกันตามที่พรรคก้าวไกลแถแบบโง่ๆ
ข้อ 4. เมื่อบุคคลทำเกินมติพรรคถ้าพรรคไม่ยอมรับก็ต้องจัดการแต่เนิ่นๆ ในทุกกรณี แต่ทว่าพรรคก้าวไกลกลับไม่เคยจัดการใดๆ การอภิปรายบิดเบือนให้ร้ายในสภาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มี แถมพรรคก้าวไกลยังออกหน้าประกันตัว สส. ผู้กระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย
ข้อ 5. พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ถือหลักป้องปรามในการยุบพรรคพรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจนก็อาจเข้าข่ายโดนยุบพรรคเหมือนกันไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างเสียก่อน
ข้อ 6. ยุบหรือไม่ยุบเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ผู้วินิจฉัยเท่านั้น ส่วนจะสมควรแก่เหตุหรือไม่ก็เป็นดุลพินิจของศาล หากมองว่าการที่พรรคก้าวไกลสร้างความแตกแยกทางความคิดชี้นำไปสู่บั้นปลายของการล้มล้างซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงและการสูญเสีย เพียงแต่ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเท่านั้น การยุบพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยกว่าเหตุ เพื่อยับยั้งความรุนแรงก่อนที่อนาธิปไตยจะเกิดขึ้นมาทำลายประชาธิปไตย
ข้อ 7-9. พรรคก้าวไกลเล่นแง่แถกฎหมายไปเรื่อย เพราะถ้าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิในการเพิกถอนสิทธิจริงก็ควรจบตั้งแต่ข้อ 7. ไม่ใช่แถไปจนถึงข้อ 9. ในลักษณะต่อรองเป็นขั้นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่รู้กฎหมายจริง หากแต่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองสุดๆ ในทุกกรณี
ดังนั้น หากดูเพียงผิวเผินด้วยความไม่รู้กฎหมายก็อาจมองว่าพรรคก้าวไกลเก่งฉกาจที่สามารถยกข้อต่อสู้ทางกฎหมายขึ้นมาได้ถึง 9 ข้อ แต่ทว่าความเป็นจริง พรรคก้าวไกลก็แค่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองแบบเด็กเอาแต่ใจ ไร้วุฒิภาวะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการและความเป็นจริงแต่อย่างใด”
นอกจากนี้ ยังแจกแจงประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบางส่วน ระบุว่า
“...เงื่อนไขการยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวเนื่องด้วยการล้มล้างการปกครอง มีอยู่ด้วยกัน 2 กรณี
(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
(2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
...กฎหมายออกแบบมาในลักษณะป้องปราม ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างการปกครองเสียก่อนถึงจะสามารถยุบพรรคได้ แค่กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองก็เข้าข่ายยุบพรรคได้แล้ว
แม้ว่าพรรคก้าวไกลอาจไม่ได้ใช้กำลังล้มล้างการปกครองโดยตรงตาม (1) แต่ทว่ากระทำการเซาะกร่อนบ่อนทำลายเคลื่อนไหวคู่ขนานกับม็อบสามนิ้วมาโดยตลอด อีกทั้งสมาชิกของพรรคจำนวนไม่น้อยยังเคยแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิหนำซ้ำหัวหน้าพรรคยังออกหน้าช่วยประกันตัว สส. ซึ่งกระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าทั้งเจตนาและพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกลส่อไปในทาง (2) ทั้งสิ้น
การกระทำของพรรคก้าวไกลอันใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จึงเข้าข่ายกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามมาตรา 92 (2) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยยุบพรรคเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ มิอาจก้าวล่วงได้
แต่ในฐานะประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงไปสู่อนาธิปไตยล้มล้างประชาธิปไตยเสียเองในที่สุด
จึงขอแสดงจุดยืน 1 สิทธิ์ 1 เสียง สนับสนุนยุบพรรคก้าวไกล” – ดร.ศุภณัฐกล่าว
4. สุดท้าย ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาดให้ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ ทุกฝ่ายต้องเคารพคำวินิจฉัยศาล และคำวินิจฉัยก็มีผลผูกพันทุกองค์กร
ถ้ายุบ สส.ก้าวไกลที่ไม่ใช่กรรมการบริการพรรคชุดที่กระทำการล้มล้างการปกครอง ก็แค่ไปสังกัดพรรคใหม่
จะไปพรรคไหน ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของตนเอง
ถ้าไม่ยุบ ฝ่ายที่พยายามคุกคามกดดันการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงจะได้ใจ และเหิมเกริมยิ่งกว่าเดิม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี