รายงานข่าวระบุว่า ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรมี 10 นโยบายเร่งด่วน
นโยบายเร่งด่วนเหล่านั้น จะทำได้จริงแค่ไหน?
หรือแค่ขายฝันไปวันๆ?
1. นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล มีหลายเรื่องที่เป็นรูปธรรม เช่น
เดินหน้าผลักดันโครงการดิจิทัล วอลเล็ต กลุ่มเปราะบางลำดับแรก
สร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษี คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า ส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย เมืองน่าเที่ยว
การพักหนี้ SME การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน
ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ
มาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
กำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย “ค่าโดยสารราคาเดียว” ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง
ฯลฯ
2. นโยบายเรื่อง เศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดิน
รูปธรรมที่พอจะมองเห็น เช่น สลาก 3 หลัก ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
การดำเนินการตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว “หวย 3 หลัก”หรือที่เรียกว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก (Numbers 3 : N3)
คล้ายๆ หวยใต้ดินนั่นเอง แต่เป็นสลากกินแบ่ง ไม่ใช่กินรวบ
มีหมายเลขให้เลือก 3 หลัก แต่ละหลักมี 10 หมายเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 9 (000 - 999)และไม่กำหนดหมายเลขไว้ในระบบล่วงหน้า ผู้ซื้อสามารถเลือกตัวเลขได้ตามต้องการ)
ผู้ซื้อสามารถเลือกหมายเลขแต่ละหลักให้ครบ 3 หลัก และสามารถเลือกหมายเลขแต่ละหลักซ้ำกันได้
มีการออกรางวัลเฉพาะสลากสามหลักเลย โดยเงินยอดขายถูกแบ่งเป็นสัดส่วนเงินรางวัล-เงินนำส่งแผ่นดิน ตามกฎหมาย เช่นเดียวกับสลากกินแบ่งรัฐบาล
มีรางวัลสามตรง รางวัลสามสลับหลัก รางวัลสองตรง และรางวัลพิเศษ
วิธีการจำหน่ายในรูปแบบดิจิทัล (จำหน่ายโดยตัวแทนผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง)
จะมีการออกรางวัล เดือนละ 2 ครั้ง ในวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน
รางวัลจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับยอดขาย
ราคาในการจำหน่ายสลาก N3 ขณะนี้ อยู่ระหว่างกำหนดราคาในช่วง 20-50 บาทต่อใบ
สู้กับหวยใต้ดิน และเพิ่มช่องทางให้คนที่อยากเป็นตัวแทนจำหน่ายสลาก
สำนักงานสลากฯ คาดว่า จะสามารถจำหน่ายสลากฯ ตัวเลขสามหลักได้อย่างต่ำ 40 ล้านฉบับต่องวด
อาจจำหน่ายราคาฉบับละ 20 บาท
คาดว่าเลข 3 หลัก จะเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค สามารถเลือกซื้อรูปแบบของสลากฯ ได้หลากหลายมากขึ้น ตามราคาที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งเป็นการช่วยให้การเสี่ยงโชคนอกระบบและผิดกฎหมาย (หวยใต้ดิน) ให้น้อยลง
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล น่าจะมีเงินนำส่งแผ่นดินมากขึ้น
คิดง่ายๆ ตามสมมุติฐานว่าจะขายได้กว่า 40 ล้านฉบับต่องวด โดยขายฉบับละ 20 บาท
เป็นเงิน 800 ล้านบาทต่องวด (เดือนละสองงวด คือ 1,600 ล้านบาทต่อเดือน)
เมื่อแบ่งไปเป็นเงินรางวัล 60% ก็ราวๆ 480 ล้านบาท
ยอดขายนำส่งเป็นรายได้เข้าแผ่นดิน 23% งวดละ 184 ล้านบาท
คิดเป็นรายได้เข้าแผ่นดิน เดือนละ 368 ล้านบาท
ปีละ 4,416 ล้านบาท
3. สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)
รัฐบาลเศรษฐา มีมติ “รับทราบ” รายงานผลการพิจารณาศึกษา ชุดที่มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นประธานฯ
มีการร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร สาระสำคัญ เช่น
กำหนดให้มี “คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร” ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ คณะกรรมการฯชุดนี้ มีอำนาจกำหนดนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร, การกำหนดอัตราภาษีที่เกี่ยวกับกาสิโน การกำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร, การกำหนดจำนวนใบอนุญาตและพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร,กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การให้สินเชื่อแก่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในกาสิโน ไปจนถึงการกำหนดนโยบายป้องกัน แก้ไขหรือเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานบันเทิงครบวงจร (ร่างมาตรา 11)
กำหนดให้สถานบันเทิงครบวงจรตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดใน พ.ร.ฎ.โดยจะต้องประกอบไปด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน(ร่างมาตรา 41)
กำหนดให้ใบอนุญาตประกอบการสถานบันเทิงครบวงจรมีอายุ 30 ปี โดยมีค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรก 5,000 ล้านบาท (ร่างมาตรา 49)
ห้ามไม่ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปในสถานประกอบการกาสิโน (ร่างมาตรา 55)เป็นต้น
พูดง่ายๆ ว่า อนุญาตให้มีบ่อนกาสิโนเป็นส่วนหนึ่งในสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)
4. นโยบายรถไฟฟ้าราคาเดียว ตลอดสาย
คล้ายๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
เรื่องนี้ ถ้ารัฐบาลทำจริง จะต้องใช้เงินไปซื้อคืนสัมปทานของเอกชน หรือจ่ายอุดหนุนค่าโดยสารให้เอกชน
เพราะรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีชมพู สีเหลือง และสีส้ม ล้วนมีอายุสัมปทานเหลืออีกหลายสิบปี
ยกเว้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังเหลือสัมปทานอีกประมาณ 5 ปี แต่ก็มีสัญญาจ้างเดินรถต่อ
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวปาฐกถา Vision for Thailand เกี่ยวกับการนำสัมปทานรถไฟฟ้ามาบริหารเองโดยรัฐ
แนวทางที่รัฐมนตรีคมนาคมแย้มออกมา คือ เจรจาซื้อคืนสัมปทาน แล้วปรับรูปแบบสัญญาจากสัมปทาน PPP Net Cost เป็นการจ้างเดินรถ โดยจะจ้างเอกชนรายเดิมที่ยังไม่หมดสัมปทานเดินรถต่อไป จนหมดสัญญาเดิม ดังนั้น เอกชนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงในการเดินรถจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาจ้างดังกล่าว
แต่ภาครัฐ ก็จะกำหนดค่าโดยสารได้เอง
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ เคยให้ความเห็นไว้ว่า “เอาเลย ! ซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน”
ระบุว่า “... การซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนกลับมาเป็นของรัฐจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง แต่การซื้อคืนจะต้องใช้เงินจำนวนมาก เนื่องจากถึงวันนี้มีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว 8 สาย ระยะทางรวม 274 กิโลเมตร จะหาเงินมาจากที่ไหน ?
...เมื่อรัฐมีแนวคิดที่จะซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน ผมจึงขอฝากคำถามและข้อเสนอแนะไปถึงรัฐบาลเกี่ยวกับสัมปทานดังนี้
(1) ในอนาคตรัฐจะเชิญชวนเอกชนให้มาร่วมลงทุนในกิจการรถไฟฟ้าอีกหรือไม่ ?
(2) หากรัฐไม่สามารถซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชนได้ รัฐจะต้องเลิกขยายระยะเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าให้เอกชนทุกราย
(3) รัฐจะซื้อสัมปทานทางด่วนคืนจากเอกชนด้วยหรือไม่ ? เพื่อทำให้ค่าผ่านทางถูกลง หากไม่ซื้อ รัฐจะต้องเลิกขยายระยะเวลาสัมปทานทางด่วนให้เอกชนทุกราย...”
5. รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ให้ความเห็นไว้ว่า รัฐบาลแพทองธาร ไม่มี honeymoon period (ช่วงฮันนีมูน) ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีก็พูดเองว่าไม่มี และรัฐบาลจะมุ่งหน้าผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเลย โดยในวันที่ 7 ก.ย. จะมีการแถลงนโยบาย และมีเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต
“สาเหตุที่ไม่มีช่วงฮันนีมูนนั้นมีสาเหตุ 3 ประการ
1 การเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้มีคนนิยมที่สุด หรือไม่ได้มี สส. ที่ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งมากที่สุด ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีคนรู้สึกว่าไม่ปกติสักเท่าไร แต่ก็ยังอยู่ในกติกา ซึ่งในยุโรปก็มีลักษณะนี้
2 ได้โอกาสมาเกือบปี แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ค่อยได้
3 มีอดีตความซับซ้อนของครอบครัว และของคดี
การที่มีประชาชนกังขา ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ทำเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายเรือธง ดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งมีข่าวมาแล้วว่าจะมีการเร่งปรับเปลี่ยนวิธี และจะต้องเดินหน้าได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ซึ่งนี่จะเป็นด่านที่ 2 ที่รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญ...”
6. น่าสนใจว่า รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดผลงานรูปธรรมจับต้องได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร
จะทำสำเร็จได้ รัฐบาลต้องยึดกุมสภาพในการสื่อสารทางการเมืองให้ได้มากที่สุด
จะต้องไม่ทำอะไรที่สร้างแรงกระเพื่อม หรือสร้างปมเงื่อนไขความขัดแย้ง ในพรรคร่วมรัฐบาล และเครือข่ายของพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงกลุ่มอำนาจเดิม ผู้ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลลุงตู่
โดยโดดเดี่ยวพรรคส้มล้มล้างการปกครอง
ดึงประชาชนกลุ่มต่างๆ ให้เข้ามาสนับสนุน หรือเป็นมิตร หรืออย่างน้อยลดความเป็นศัตรู
นั่นจึงจะพอมีหนทาง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี