ทักษิณ ชินวัตร แสดงอาการแอคอาร์ต ประกาศศักดา อวดเบ่งเต็มที่
นั่งรถไฟขบวนพิเศษ ไปหัวหิน ร่วมคณะกับอดีตนายกฯ เศรษฐาและนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์
บอกว่า นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ดีเอ็นเอแรง หัวหน้าพรรคไทยรักไทยปี’44 กับหัวหน้าพรรค พท.ปี’67 เป็นคนเดียวกัน เพียงแต่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยผมยาวกว่า
อวดว่า มีความภูมิใจและห่วงใยลูกสาว มีอะไรนายกฯก็มาปรึกษา บางทีเขาก็สั่งตน
โม้ว่า เก้าอี้ สส.ในภาคอีสานจะกลับมาเกินร้อย
คุยโว ให้กระทรวงการคลังศึกษา เพื่อรับบิตคอยน์ได้หรือไม่ ทำให้เงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ จีดีพีปีหน้า 3.5 ไม่น่ามีปัญหา ปี 2569 จีดีพี 4.0 ไม่น่ามีปัญหา
ชี้นำ ให้รัฐวิสาหกิจที่มีหนี้เยอะออกพ้นจากรัฐวิสาหกิจ เอาเอกชนมาลงทุนแทนรัฐ
กร่างใส่พรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมบางพรรคหลบประชุมครม. ไม่เข้าพิจารณา พ.ร.ก. วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอก ส่งใบลาออกมาเลย
กาหัวแก๊งใครที่ร้องเล่นงานพรรคตนเอง รอรับการเช็คบิล! ฯลฯ
เรียกว่า ทักษิณกลับมาบ้าน้ำลายเหมือนเดิม
หลงคิดว่าตนเองกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือนในอดีต ทุกคนต้องหมอบราบคาบแก้ว จูบตีนทักษิณ อย่างนั้นหรือ?
ก่อนจะเช็คบิลคนอื่น ควรชี้แจงให้สิ้นสงสัย กรณีภาษีหุ้นชิน ตระกูลชินวัตร มีใครเสียภาษีบ้างหรือยัง?
1. อย่าโมเมอ้างแค่ว่า ชนะคดีไปแล้วนะ
แม้ว่าเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2565 ศาลภาษีอากรกลาง อ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง หมายเลขดำ ภ.220/2563 ที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ชินคอร์ป” จำนวน 17,000 ล้านบาท
โดยศาลภาษีอากรกลางพิจารณาวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง
แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมิน มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้น ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป แต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นภายหลังจากนั้น ก็ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของ บริษัท ชินคอร์ป แต่อย่างใด เพราะนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง โดยตามข้อกฎหมายมาตรา 19 จึงยังต้องถือว่านายทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้น บริษัท ชินคอร์ป ดังกล่าวอยู่
ที่พวกจำเลยให้โจทก์เสียภาษี อย่างผู้มีรายได้พึงประเมินนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัย
ยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมิน และจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12)
2. คดีภาษีหุ้นชินนั้น กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีจากทักษิณ เป็นเงิน 17,629 ล้านบาท
ปรากฏข่าวทั่วไป เมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำหนังสือแจ้งประเมิน ไปติดหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้าบ้านเลขที่ 472 จรัญสนิทวงศ์ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2560
กรมสรรพากรระบุว่า นายทักษิณมีเงินได้พึงประเมิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,899 ล้านบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม คำนวณถึงวันที่ 31 มี.ค. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 120 เดือน ทำให้มีเงินภาษีซึ่งทักษิณต้องจ่ายรวม 17,629 ล้านบาท ให้ไปชำระที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด
เป็นการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2549
สืบเนื่องมาจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ที่นายทักษิณเป็นเจ้าของตัวจริงแต่อำพรางไว้ในชื่อคนอื่น ก่อนจะขายต่อไปให้กลุ่มเทมาเส็ก
เนื่องจากในปี 2549 นายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท หลังซื้อมาจากแอมเพิลริช ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท
ย้ำ ไม่ใช่การประเมินรายได้จากการขายหุ้นในเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ฯแต่เป็นการขายหุ้นชินฯ จากแอมเพิลริชมาให้ลูกๆ ของทักษิณ นอกตลาดหลักทรัพย์ฯในราคาถูกกว่าท้องตลาด ส่วนต่างถือเป็นเงินได้
สรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นอมินีที่ถือหุ้นแทนนายทักษิณ มาไต่สวนเมื่อปี 2555 จึงถือตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ โดยให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มี.ค. 2560 และถือว่าได้ส่งหนังสือประเมินให้นายทักษิณทันอายุความ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนายทักษิณยื่นอุทธรณ์
ปรากฏว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ชี้ชัดว่า การประเมินภาษี นายทักษิณ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลรัษฎากรและเป็นธรรมแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น
ระบุว่า ตามพฤติการณ์ผู้อุทธรณ์ หรือนายทักษิณ เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริงที่ต้องเสียภาษีอากร แต่ให้นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา เป็นตัวแทนเชิดในการซื้อหุ้นชินคอร์ป จากแอมเพิลริช นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากรและทำให้รัฐเสียประโยชน์ จึงไม่งดหรือลดเบี้ยปรับ
ต่อมา ฝ่ายนายทักษิณนำเรื่องไปฟ้องต่อศาลภาษีอากร กระทั่งศาลภาษีอากรมีคำพิพากษาออกมาในชั้นต้นให้ฝ่ายนายทักษิณชนะคดีนี้นั่นเอง
3. คดีดังกล่าว ศาลภาษีพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
คดีนี้ ไม่มีผลไปเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาคดีต่างๆ ที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว อาทิ คดียึดทรัพย์ทักษิณ คดีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต คดีซุกหุ้น คดีหวยบนดิน คดีที่ดินรัชดา ฯลฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งตอกย้ำว่า ทักษิณซุกหุ้นไว้ในชื่อคนอื่นตามแนวทางที่ศาลฎีกาพิพากษาไว้เดิมเสียอีก
อย่าลืมว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีร่ำรวยผิดปกติ กรณีอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่าทรัพย์สินกว่า 76,000,000,000 บาท (7.6 หมื่นล้านบาท) พร้อมดอกผลที่ได้มาจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป ตกเป็นของแผ่นดิน
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา พิพากษาว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ บริษัท ชินคอร์ปที่ครอบครัวถือหุ้น ทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ จึงให้ยึดทรัพย์สินในส่วนของนายทักษิณ และครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป จำนวน 46,000,000,000 บาท (4.6 หมื่นล้านบาท) พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน
กรณีภาษีหุ้นชินฯ จึงควรชี้แจงให้ชัดเจนว่า กรณีศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาคดีความแพ่ง ให้นายทักษิณชนะไปนั้น ผลการอุทธรณ์เป็นอย่างไร?
สรุปแล้ว ตระกูลชินฯ รอดพ้นไม่ต้องจ่ายภาษีให้รัฐ 1.7 หมื่นล้านบาท เพราะถูกประเมินล่าช้า อย่างนั้นหรือ?
ลูกไม่ต้องจ่าย พ่อก็ไม่ต้องจ่าย ไม่มีใครต้องจ่ายเลย อย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้ ลูกคนเล็กมาเป็นนายกฯ แล้ว ช่วยหาคำตอบให้สังคมที
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี