การทำงานในสภาฯยุคแรกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มีทั้งความกล้าพูด กล้าเสนอความเห็นค้านรัฐบาลของคณะราษฎรในประเด็นต่างๆ ดังจะขอยกเรื่องราวในการพิจารณาแก้กฎหมายที่ต้องการเพิ่มโทษผู้เป็นพยานเท็จให้หนักขึ้น มาเสนอในครั้งนี้ เรื่องนี้ได้มาจากการประชุมในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2477 ซึ่งมีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ ผู้นำเสนอคือพระยามานวราชเสวี
“…บัดนี้มีการแจ้งความเท็จมากขึ้น แล้วก็เบิกความเท็จก็มากขึ้น เป็นเหตุทำให้บุคคลสุจริตต้องได้รับทุกข์ด้วยเหตุเหล่านี้เป็นอันมาก”
เมื่อรัฐบาลให้เหตุผลจบ คุณชำนาญภาษาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาสก็ลุกขึ้นสนับสนุน แต่นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัด ธนบุรี ลุกขึ้นคัดค้านทันที ว่า
“…การที่จะกระทำโทษบุคคลซึ่งเบิกความไม่จริงหรือความเท็จนั้น เสมอด้วยนักโทษที่ฆ่าคนตายเช่นนี้แล้ว ย่อมจะแรงเกินไป… ไม่สมควรที่จะรับหลักการ”
ขุนพิเคราะห์คดี ผู้แทนราษฎรจังหวัดขุขันธ์ ผู้เห็นด้วย อ้างว่า “การเบิกความเท็จมีชุกชุมเหลือเกิน บางทีคนไม่ต้องหาก็ไปเบิก”แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่อภิปรายต่อมา คือ นายทองอินทร์ภูริพัฒน์ จากอุบลราชธานี
“การที่จะปรับให้คนดี ไม่ใช่การทำโทษ เราต้องเอาวิธีหนึ่งคือ ทำให้ศีลธรรมของพลเมืองดีขึ้น พระราชบัญญัติเดิมได้วางกำหนดโทษไว้พอควรแก่การกระทำอยู่แล้ว …ปัญหาที่รัฐบาลจะปรับปรุงไม่ใช่ปรับปรุงในทางที่จะให้โทษแก่พลเมือง …จะต้องให้การศึกษาแก่พลเมือง”
นายสรอย ณ ลำปาง ผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง ท่านเห็นชอบด้วยกับรัฐบาล ได้อภิปรายตรงประเด็นการศึกษา ว่า “…ในระหว่างนี้ได้แลเห็นมาแล้วว่า การกระทำผิดเช่นนั้นได้มากขึ้น… จะรู้ได้ดีนั้นต้องถามผู้ที่เป็นทนายความ บางทีคนเราไม่ทำผิดเลยถูกตัดสินประหารชีวิตเวลาที่จะเอาไปประหารชีวิตก็ร้องไห้ร้องห่ม แต่ความจริงจะมีอย่างไรไม่ทราบ เพราะศาลถือพยานเอาเป็นเกณฑ์มาลงโทษ” นายทองอินทร์ จึงได้ลุกขึ้นอภิปรายเสมือนโต้ทันทีว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นดีด้วยในการที่จะใช้อำนาจบาตร์ใหญ่มาทำร้ายแก่ราษฎร” ตรงนี้เหมือนกระแทกรัฐบาล
ยังมีผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งอีก 2 นาย ที่อภิปรายน่าสนใจ คนหนึ่งคือขุนสุคนธวิทศึกษากร จากจังหวัดสมุทรสาคร “ในกรณีที่วางไว้สำหรับโทษกระทำผิดในฐานเบิกความเท็จเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องโทษนั้น คือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ากฎหมายนี้เป็นการสมควรแก่รูปดีแล้ว” ส่วน หลวงวรนิติปรีชา จากจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า “ขอให้คิดดู ถ้าหากว่าเราถูกไปเป็นจำเลยในคดีอย่างอุกฤษฏ์แล้ว เราต้องถูกจำคุก ต้องถูกทรมาน ได้รับความเดือดร้อนโดยมีผู้เบิกความเท็จ หรือแจ้งความเท็จให้แก่เราแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร…”
มาอ่านดูความคิดเห็นของผู้แทนราษฎรจังหวัดอยุธยาผู้มีอายุน้อยดูเหมือนจะที่สุดของผู้แทนฯรุ่นนั้นบ้าง คือนายละเมียด จากอยุธยาได้รับเลือกขณะที่เป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ท่านทั้งหลาย จะลืมไปเสียแล้วว่าการออกกฎหมายหรืออะไรก็ดี ตามหลักของมองเตสกีเยอร์ เราดูว่าคอนดิชั่นออฟไลฟ์คือสถานะแห่งชีวิตของราษฎรเป็นอย่างไร… การศึกษาของเราไม่ได้มุ่งไปในทางอบรมคนให้เป็นคนเลย คือเป็นแต่เพียง สคูลลิงเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแน่นอนที่ทำไมจะต้องบอกว่าคนที่ได้รับการศึกษามากก็โกงมาก เพราะไม่ได้อบรมคนให้เป็นคนไปเรียนหนังสือเท่านั้น” ท่านอ้างชื่อปราชญ์ฝรั่งอย่างมองเตสดิเออร์ด้วย
การอภิปรายในวันนั้นมันมากถึงขนาดหลวงวรนิตปรีชา กล่าวหาว่านายทองอยู่ “ได้ทำผิดมารยาทที่ดีของที่ประชุม คือได้ชี้หน้าท่าน”จนประธานต้องบอกว่าอย่าเอาเรื่องมาทะเลาะกันในที่นี้ ท้ายที่สุดในวันนั้นสภาฯก็ลงมติรับหลักการร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา ตามที่รัฐบาลเสนอ แต่มิใช่จะเสนอแล้วสภาฯจะรับทันที
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี