กฎหมายเปรียบดั่งกระจกสะท้อนภาพและระดับความศิวิไลซ์ของแต่ละสังคม
เช่น ประเทศนิวซีแลนด์มีกฎหมายฉบับหนึ่งที่นอกจากจะมีความก้าวหน้าอย่างยิ่งแล้ว ยังมีความลึกล้ำและซับซ้อนอีกด้วย กฎหมายฉบับดังกล่าว ชื่อว่า
Te Awa Tupua Act 2017 อันเป็นกฎหมายรับรองสิทธิของแม่น้ำว่ามีสถานะเป็นบุคคลและมีจิตวิญญาณ Te Awa Tupua ออกเสียงว่า “เต อะวา ทูพูอะ” เป็นภาษาเมารี (Maori) มีความหมายว่า“ความศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ”
ชาวเมารีเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของนิวซีแลนด์ กฎหมายฉบับนี้ชาวเมารีเผ่าวังกานูอิอิวิ (Whanganuilwi) ซึ่งเป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำวังกานูอิ บนเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ ได้ต่อสู้เรียกร้องมานานตั้งแต่ปี 1880 จนในที่สุด เดือนมีนาคม 2017 รัฐสภานิวซีแลนด์ก็ได้ออกกฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นการยอมรับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างแม่น้ำวังกานูอิกับชนเผ่านี้ กล่าวคือเป็นการรับรองสถานภาพการเป็นบุคคลทางกฎหมายของแม่น้ำวังกานูอิที่มีสิทธิและความรับผิดชอบเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
ความก้าวหน้าและลึกล้ำของกฎหมายฉบับนี้ คือการยอมรับความคิด ความเชื่อของคนสังคมนิวซีแลนด์ที่มีต่อคนพื้นเมืองและสิทธิของพวกเขา โลกทัศน์ของชาวเมารีที่มีต่อแม่น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมนั้นมีความซับซ้อนทั้งด้านกายภาพและจิตวิญญาณ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่น่าจะเฉพาะชาวเมารีเท่านั้น คนจำนวนหนึ่งในทุกสังคมก็เชื่อว่าธรรมชาติมีความศักดิ์สิทธิ์ ที่มนุษย์จะต้องยอมรับและแสดงความเคารพ และมีหน้าที่ต้องปกปักรักษา ดูแลให้มีความยั่งยืนสืบต่อไปถึงคนรุ่นต่อไป
เพียงแต่สังคมนั้นอาจยังไม่มีกฎหมายลักษณะเช่นนี้
นอกจากแม่น้ำวังกานูอิแล้ว ที่ประเทศอินเดีย ศาลสูงรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) ก็ได้ประกาศให้แม่น้ำคงคาและยมนา มีสถานภาพเป็นบุคคลและมีสิทธิตามกฎหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งในศาสนาฮินดูเชื่อกันว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
ยังมีอีกหลายประเทศที่มีกฎหมายพัฒนาก้าวหน้าไปไกลจนล้ำหน้าประเทศอื่น แม้แต่ประเทศไทยก็มีกฎหมายเนื้อหาดีดีและมีความก้าวหน้าไม่แพ้ชาติอื่น
เช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันพุธที่ ๒๒ ที่ผ่านมานี้เอง
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดกันตามสำนวนฝรั่งที่ว่า “skeleton in the closet” (โครงกระดูกในห้องเก็บของ)อันหมายถึง เรื่องปกปิดของคนในตระกูลที่ก่อเรื่องไม่ดีงามไว้ ประเทศไทยก็ยังมีกฎหมายล้าหลัง ตกยุค หรือได้มาด้วยกระบวนการและวิธีการที่ไม่ถูกต้องอีกเป็นจำนวนมาก เช่น ประกาศหรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติดังที่เคยเขียนไว้ในบทความตอนก่อนๆ นอกจากนั้นก็ยังมีกฎหมายอีกประเภทที่เรียกว่า Fake Law อันมีความหมายได้หลายนัย ขึ้นอยู่ว่าจะใช้ในบริบทอะไร
โดยทั่วไปแล้ว Fake Law เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายการบิดเบือน การตีความ แนวคิด หลักการ เจตนารมณ์ของกฎหมายและการใช้กฎหมายในทางที่ผิดและบิดเบือนเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
การใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล หรือ Fake Law เพื่ออำพราง บิดเบือนหรือหลอกลวงที่อาจจะนำมาปรับใช้กับกฎหมายของบ้านเรานั้นมีอยู่หลายฉบับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา รวมทั้งคำพิพากษาของศาล แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายที่เป็น Fake Law นั้นไม่อยู่ในข่ายที่จะเป็น “โมฆะ” เสมอไป อาจจะตกเป็น “โมฆะ” หรือไม่ก็ได้ เช่นเดียวกับคำพิพากษาก็อยู่ในนัยเดียวกัน
Fake Law ยังหมายถึงการเผยแพร่ข้อเท็จจริงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นสาธารณะ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางสังคมหรือทางการเมือง ดังนั้นการทำงานของ Fake Law จึงมักจะต้องใช้ Fake News ควบคู่กันไปด้วย
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน ได้มีการใช้ Fake Law และ Fake News เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทำลายล้างศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมือง หรือเพื่อวาระซ่อนเร้นอื่นๆ ในหลายกรณี ต่างกรรมต่างวาระกันเรื่อยมา
การใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลที่เข้าข่าย Fake Law เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้ทรงประกาศ พระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และให้รอการใช้บทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ ที่ขัดกับพระราชกฤษฎีกานี้ โดยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ก็เพื่อยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์)
การปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา นั้นเป็นถือเป็นการรัฐประหารในรูปแบบหนึ่ง เพราะอำนาจทั้งหมดด้านการบริหารและนิติบัญญัติถูกโอนมาไว้ที่ตัวนายกรัฐมนตรี คือ พระยามโนปรณ์ฯ โดยอาศัยอำนาจของพระมหากษัตริย์ในรูปของพระราชกฤษฎีกา จนหนังสือพิมพ์นำไปเขียนล้อเลียนว่า “ระบอบมโนเครซี่”
ในแถลงการณ์ของพระยามโนปกรณ์ฯ อ้างเหตุผลในการยุบสภาว่ามีความขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎรเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจ ซึ่งพระยามโนปกรณ์ฯ ตระหนักดีว่าถ้าเค้าโครงเศรษฐกิจถูกเสนอต่อสภาฯ แล้ว เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ จะเห็นชอบด้วย เพราะสมาชิกสภาฯส่วนมากสนับสนุนนายปรีดี ดังนั้นจึงตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อนเพื่อไม่ให้มีการพิจารณาเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี ซึ่งพระยามโนปกรณ์ฯ เห็นว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น ๒ เมษายน ๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์ฯ จึงเร่งรัดการประกาศ พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๗๖ โดยมีสาระสำคัญว่า “การก่อให้เกิดขึ้น หรือแม้แต่เพียงพยายามก่อให้เกิดขึ้นซึ่งคอมมิวนิสต์ จักเป็นเหตุนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎร และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้กำหนดโทษขึ้นและให้ผู้สนับสนุนส่งเสริมและสมาชิกของสมาคมดังกล่าว มีความผิดด้วย”
พระยามโนปกรณ์ฯ อาศัย “พระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่”ซึ่งกำหนดว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตามคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี” ลงนามสนองพระบรมราชโองการประกาศใช้พระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๗๖ ขึ้นเป็นฉบับแรก ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี โดยไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๖ ที่บัญญัติว่า “บรรดาพระราชบัญญัติทั้งหลาย จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร”
การใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลเช่นนี้ ตั้งแต่ การประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ และการประกาศ พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ.๒๔๗๖ ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๔๗๖ นั้นก็เพื่อมุ่งทำลายและปราบปรามนายปรีดี พนมยงค์และผู้สนับสนุน
ภายหลังการประกาศกฎหมายฉ้อฉล ๒ ฉบับนี้คณะราษฎรได้ประชุมเป็นการภายใน และเห็นควรว่านายปรีดีควรไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว ซึ่งนายปรีดีก็พร้อมปฏิบัติตามแต่มีเงื่อนไขว่า มิใช่ไปเพราะถูกเนรเทศด้วยเรื่องคอมมิวนิสต์ แต่ไปเพื่อศึกษาและดูงานในต่างประเทศ ต่อมา วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๗๖ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศไปฝรั่งเศส โดยรัฐบาลทำสัญญาจะจ่ายเงินให้ปีละ ๑,๐๐๐ ปอนด์จโดยรัฐบาลออกแถลงการณ์ว่า นายปรีดี พยมยงค์ เดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล ด้วยการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้รอการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราวนั้น ได้นำไปสู่การรัฐประหารในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารครั้งแรกของประเทศไทย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
ศาสตราจารย์พิเศษ
ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
หมายเหตุ : เรื่อง Te Awa Tupua Act 2017 และความสัมพันธ์ระหว่างชาวเมารีเผ่าวังกานูอิกับแม่น้ำสายนี้ อ้างอิงและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก นิติ ภวัครพันธุ์ “แม่น้ำคือบุคคล : การคืนอำนาจให้ชนพื้นเมือง”, Way Magazine, 2 มีนาคม 2021.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี