การตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและถูกคุมขังไว้นานกว่า 10 ปี กลับประเทศต้นทาง คือ จีน กลายเป็นเรื่องร้อนของ “ประเทศไทย” ในเวลานี้ นานาประเทศโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ พากันตำหนิ ประณาม จนเกิดความกังวลเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าและการก่อเหตุรุนแรงที่อาจตามมา
1) รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Ekkarin Tuansiri” เนื้อหาว่า
วันนี้ตั้งใจจะไปละหมาดวันศุกร์มัสยิดฮารูน และจะไปเยี่ยม กุโบร์ (สุสาน) อาจารย์ชัยวัฒน์ ก่อนเดือนรอมฎอน แต่ก็พลาด ไม่ทันเวลา เพราะเลิกประชุมจาก สกสว. ก็เที่ยงกว่าแล้ว การเดินทางจากสนามเป้าไปเจริญกรุง ประเมินแล้วไม่ทันละหมาดแน่ๆก็เลยมาลงที่มัสยิดเพชรบุรี ซอย 7 แต่ก็ได้มีโอกาส โทรคุยกับอาจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
แกเล่าเรื่อง อุยกูร์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งการถูกกักขัง การสื่อสารกับญาติที่ต้องพูดภาษาจีน และกระบวนการทั้งหมดที่พวกเขาต้องเผชิญ
แกเป็น นักวิชาการไทยที่เชี่ยวชาญเรื่องอุยกูร์มากที่สุด แกเล่าว่า ตอนเรียนที่ฮาวาย แกได้เรียนกับอาจารย์ที่เป็นเชื้อสายอุยกูร์ และด้วยความที่แกพูดภาษาจีนได้ ยิ่งทำให้แกเข้าใจและใกล้ชิดกับประเด็นนี้
ในฐานะที่เป็น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) อาจารย์สุชาติพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือแต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดคือ หลายฝ่ายกลับไม่ตระหนักถึงปัญหานี้ ทั้งๆ ที่มีข้อมูลล่วงหน้าว่าจะมีการส่งตัวกลับ
อย่าลืมว่า เครือข่ายชาวอุยกูร์มีอยู่ทั่วโลก และพวกเขาติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ข้อมูลของพวกเขาแม่นยำ แต่ไทยกลับเลือกตัดสินใจ อย่างไร้กึ๋น ทั้งในแง่ของจริยธรรมและผลประโยชน์ของประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรม แต่คือความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ การกระทำของไทยละเมิดปทัสถานพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับนานาชาติ และความเชื่อมั่นนี้ เมื่อเสียไปแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกู้คืนมาโดยเร็ววัน
คงเป็นที่ทราบกันสำหรับคนติดตามเรื่องอุยกูร์ ว่าทางมาเลเซียพร้อมรับพวกเขา และส่งต่อไปตุรกีได้ แต่สุดท้ายคนที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจตัดสินใจ
กลับไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ พวกเขาไม่แม้แต่จะใช้ สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์!
แต่นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของอุยกูร์ แต่มันคือปัญหาของ ความเป็นมนุษย์ ของพวกเราทุกคน!
อาจารย์สุชาติพูดย้ำกับผมว่า “เรามีอามานะห์ (ภารกิจ) ที่ต้องตอบต่ออัลลอฮ์ในเรื่องนี้” ก่อนจบการสนทนาอันยาวนานครั้งนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความอึดอัดของอาจารย์สุชาติ ผมเพียงกล่าวคำอวยพรว่า Ramadan Mubarak with Du’a krub.
2) นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul ถึงข้อสังเกตเรื่องการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยระบุว่า การที่รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน จนกลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผมมีข้อสังเกต และหลายข้อก็เป็นข้อสงสัยด้วย ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำให้คนหายสงสัย ไม่งั้นจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ ดังต่อไปนี้ครับ
1.ข้อสังเกตแรกคือ ทำไมต้องมีการปิดบังการส่งตัวกลับ? คล้ายกับเกรงว่าจะถูกคัดค้าน หรือมีการต่อต้านจนส่งกลับไม่ได้ ตรงนี้ทำให้คนสงสัย เพราะหากว่าเขาเต็มใจกลับจริงๆ และทางการจีนรับรองความปลอดภัยไม่มีการทำอันตรายเขาจริงๆ ก็ควรส่งเขากลับอย่างเปิดเผยโปร่งใส ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีใครตำหนิประเทศไทยได้
2.ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังหนักหน่วงมากขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ประเทศไทยควรเอาใจทั้งสองประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องการค้ากับทั้งสองฝ่าย ทำไมในเรื่องนี้เราจึงเลือกเอาใจแต่ประเทศจีน แล้วถูกสหรัฐอเมริกาประณาม?
3.ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยดำรงตำแหน่งตามวาระปี 2568-2570 นั่นแปลว่า หลังจากรัฐประหาร 2557 เราได้รับความยอมรับในเรื่องสิทธิมนุษยชนในระดับสากลกลับมาแล้ว ทำไมจึงไปทำเรื่องที่จะสุ่มเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก?
4.ที่สำคัญ คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการอุ้มหายทรมาน มาตรา 13 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับหรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตราย...” การจะส่งบุคคลที่ขอลี้ภัยกลับไป ต้องมีหลักประกันมั่นใจว่า จะไม่ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย หาไม่แล้วจะเท่ากับว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทำผิดตามมาตรานี้ รวมถึงอาจผิดกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ อีกด้วย
5.ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6) รวมถึงในฐานะประธาน สมช. (ตาม พ.ร.บ. สภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2559 มาตรา 6)จะปฏิเสธความรับผิดชอบ หรือปัดเรื่องให้พ้นตัวได้อย่างไร?
6.ข้อสงสัยที่สุดของผมคือ ทั้งๆ ที่กำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ซึ่งเรื่องที่จะถูกอภิปรายก็มีมากพออยู่แล้ว ทำไมจึงไปสร้างเรื่องใหม่ที่จะเป็นจุดอ่อนให้นายกฯ เพิ่มเข้าไปอีก? เรื่องนี้ดูแปลกมาก เพราะอยู่ดีๆ ก็ไปเพิ่มแต้มบุกให้ฝ่ายค้าน ราวกับโดนของหรือถูกใครวางยา
รัฐบาลมีทางเดียวที่จะหลุดจากเรื่องนี้ได้คือ ต้องติดตามสวัสดิภาพความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปอย่างจริงจัง ให้คนเห็นว่า ทุกคนที่ถูกส่งกลับปลอดภัยจริงๆ รัฐบาลจีนให้เขากลับไปอยู่กับครอบครัวเขาโดยไม่ทำอะไรเขาจริงๆ ครับ ไม่งั้นประเทศไทยจะลำบาก แล้วรัฐบาลก็จะลำบากแน่และคนที่จะลำบากที่สุด คือ คุณแพทองธาร ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครับ
3) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “russ charnsongkram” เนื้อหาดังนี้
กรณีอุยกูร์ 40 คน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่เห็น และที่ไทยไม่ได้มีทางเลือกมากนัก แค่ 3 ประการ 1.) ไม่ส่งให้ใคร และคุมขังพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ 2.) ส่งไปให้ประเทศที่สาม (หากมีประเทศใดที่จะแน่วแน่ช่วยเหลือยอมรับอย่างจริงจัง) 3.) ส่งกลับไปประเทศต้นทาง ซึ่งคือจีน
ทางเลือกที่ 1. ง่ายแต่ก็เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เพราะเป็นการกักขังโดยไม่มีความผิดและไม่มีกำหนด (indefinite detention) ซึ่งเข้าข่ายผิดทั้งกฎหมายทั้งของไทยและระหว่างประเทศ และโหดร้ายต่อชะตากรรมพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรมยิ่ง
ทางเลือกที่ 2. ฟังดูดีที่สุดแต่ยากจะเป็นไปได้จริงเพราะเอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้มีประเทศไหนมุ่งมั่นอยากรับจริง อาจมีที่เคยแสดงท่าทีบ้างแล้วก็เงียบหายไม่ได้จะมาแน่วแน่ช่วยเหลืออย่างจริงจังเต็มที่อะไร แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือองค์การระหว่างประเทศเองอย่าง UNHCR ก็ไม่ได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่คนเหล่านี้
บางประเทศมาชี้นิ้วห้ามไทยส่งให้จีน แต่ก็ไม่ได้มีข้อเสนอทางเลือกอื่นอะไรให้ ซึ่งจริงๆ ประเทศเหล่านี้ทำไมไม่ไปล็อบบี้ เจรจากับจีนโดยตรงบ้าง ว่าขอให้ยอมส่งไปประเทศที่สามได้ ก็ไม่เห็นมีประเทศไหนทำ รวมทั้งไม่เห็นมีใครมาบอกว่าหากไทยถูกจีนตอบโต้แล้วจะมาช่วยเหลืออะไรเรา
เรื่องมันน่าเศร้าที่ประเทศต่างๆ เอาเข้าจริงก็มักหน้าไหว้หลังหลอก ไม่ได้ตั้งใจช่วยเหลือเราจริงจัง มีแต่คำพูดสวยหรู และเก่งกับชี้นิ้วประเทศเล็กๆอย่างไทยเท่านั้น
ในขณะที่การส่งตัวไปประเทศที่สามไทยอาจต้องเผชิญกับการตอบโต้จากฝ่ายจีนโดยไม่มีประเทศไหนจะยื่นมือมาช่วยเหลือ ที่อาจส่งผลกระทบระดับรุนแรงต่อประชาชนคนไทยจำนวนมากที่ไม่ควรต้องมารับผลด้วย คำถามจึงคือคนไทยพร้อมจะเผชิญสิ่งนี้
หรือไม่เพียงใด? การส่งตัวไปประเทศที่สามแม้ฟังดูดีแต่ในความเป็นจริงยากจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าพรรคไหนจะมาเป็นรัฐบาลไทยก็ตาม นี่คือความเป็นจริง
ทางเลือกที่ 3. แม้อาจฟังดูโหดร้าย แต่โดยที่ทางการจีนได้มีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการต่อความปลอดภัยของคนเหล่านี้ตามที่ไทยขอ ซึ่งในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อสิ่งที่จีนรับรองอย่างเป็นทางการ และแม้หลายฝ่ายอาจไม่เชื่อจีน แต่เมื่อเขามีหนังสือรับรองเป็นทางการแล้ว เขาก็มีพันธะที่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ทำตามนั้นก็เท่ากับผิดคำพูดและย่อมเป็นผลเสียต่อจีนเอง ซึ่งผมคิดว่าจีนซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจก็จำเป็นต้องรักษาคำพูดของเขาเช่นกัน
ทางการไทยมีท่าทีตลอดมาว่าจะหาทางออกเรื่องนี้ให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งเมื่อไม่มีประเทศใดจริงจังที่จะรับคนพวกนี้ และทางจีนมีหนังสือรับรองความปลอดภัยเป็นทางการแล้ว ไทยย่อมต้องถือตามนั้นจะไปบอกว่าเราไม่เชื่อถือคำพูดของเขาไม่ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
และโดยที่จีนรับรองความปลอดภัยเป็นทางการแล้ว ประเด็นการส่งตัวไปสู่สภาวะอันตราย ซึ่งไทยมีกฎหมายห้ามและที่อาจขัดหลัก non-refoulement ตามกฏหมายระหว่างประเทศ จึงหมดไป (แต่ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ฟ้องศาลได้และแล้วแต่ศาลจะตีความอีกที)
ในแง่หนึ่ง การส่งกลับไปจีนถือเป็นเรื่องมนุษยธรรมได้เช่นกัน เพราะการกักขังเขาโดยไม่มีความผิดและไม่มีกำหนดนั้น ยิ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่า ไม่งั้นเราอยากจะให้ขังพวกเขาตายจนคาคุกหรือ? เพราะไม่มีประเทศไหนที่ยอมช่วยเหลือจริงจัง (ขอเน้นคำว่าจริงจัง)
เมื่อพิจารณาจากทางเลือกทั้ง 3 ประการ การส่งตัวกลับจีนโดยได้รับการรับรองความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ไทยพอทำได้ และยังดีกว่าขังพวกเขาไปเรื่อยๆ จนตายคาห้องขัง อย่างไร้มนุษยธรรม
มันอาจไม่ถูกใจหลายคน และเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ไทยไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหานี้ขึ้นมาแต่แรก และเรื่องนี้มันเอาแต่พูดสวยหรูโก้ๆ ไม่ได้ เพราะเกี่ยวพันกับชีวิตปากท้องประชาชนคนไทยโดยรวมด้วยเช่นกัน ที่ไม่ได้มีประเทศใดจะยื่นมือมาช่วยเราจริง ก็ยอมรับว่าจริงๆ มันก็น่าเศร้า และใจผมก็ไม่ได้อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่นึกไม่ออกว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร?
สรุป : คนไทยส่วนใหญ่คงไม่มีความเห็นใดๆ กับเรื่องนี้นัก เพราะเป็นเรื่องไกลตัว ไกลจากความรู้ความเข้าใจ และมีความรู้สึก “เป็นอื่น” บวกกับคำถามง่ายๆ คือ “แล้วจะต้องขังคนเหล่านี้ไว้อีกนานแค่ไหน”10 กว่าปีแล้ว ไม่เห็นมีใครมารับพวกเขาไป เมื่อทางการจีนทำหนังสือขอตัว และยืนยันในสวัสดิภาพของคนเหล่านี้ แทนที่ทั่วโลกจะกดดันจีน ติดตาม ตรวจสอบ ว่าคนเหล่านี้กลับไปแล้วเป็นอย่างไร
ทำไมถึงมากดดันประเทศไทยแทนวะ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี