สงคราม“ไทย-กัมพูชา”เวลานี้นั้น พูดได้ว่า“ความจริงไม่มีที่ยืน”เพราะกัมพูชาคู่สงครามของไทยโกหกหลอกลวงชาวโลกได้ทุกวัน
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมวานนี้ กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาก็ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทยเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยย้ำว่ากัมพูชายืนยันอย่างหนักแน่นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ เมืองปุตราจายาประเทศมาเลเซีย
ในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ระบุว่า“ความมุ่งมั่นของกัมพูชาที่จะรักษาข้อตกลงหยุดยิงนี้ไว้เป็นความแน่วแน่และยั่งยืนกองทัพกัมพูชาไม่เคยกระทำการใดๆ ที่อาจตีความได้ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซึ่งขัดต่อข้อกล่าวหาที่กุขึ้นในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทย ซึ่งออกเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม2568 อย่างสิ้นเชิง”
แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของไทยโดยกองทัพไทยตามที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชากล่าวหาว่า“กุ”ขึ้นนั้น กองทัพไทยระบุว่าหลังจากกำหนดหยุดยิงฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลายจุดถือเป็นการกระทำที่จงใจละเมิดข้อตกลงและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมกันนี้ กองทัพไทยยังได้ประณามการกระทำของกัมพูชา และยืนยันว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ มิได้ใช้กำลังเพื่อรุกรานแต่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและความปลอดภัยของประชาชน
ในแถลงการณ์ตอบโต้ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ยังบิดเบือนต่อว่า“รัฐบาลกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่บิดเบือนและกุขึ้นมาอย่างหนักแน่น ซึ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่และคุกคามความไว้วางใจและการเจรจาอันเปราะบางซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อสันติภาพที่ยั่งยืน”
และอีกสองย่อหน้าถัดจากนี้ ที่“ความจริงไม่มีที่ยืนในสงคราม”จากแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาที่ใช้“สงครามข่าว”ควบคู่ไปกับ“สงคราม”ที่ใช้อาวุธประหัตประหารทหารไทย และโจมตีเป้าหมายพลเรือนทั้งโรงพยาบาลและบ้านเรือนราษฎรไทย คือ “กัมพูชาขอย้ำว่าไม่มีความตั้งใจที่จะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงไม่ว่าในปัจจุบันหรือในอนาคต เป้าหมายหลักของเราคือการทำให้สันติภาพ ไม่เพียงแต่ดำรงอยู่เท่านั้นแต่ยังยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและเสถียรภาพของภูมิภาคโดยรวม”
“รัฐบาลกัมพูชาขอยืนยันพันธสัญญาอันแน่วแน่ ต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือพหุภาคีที่ยั่งยืนกัมพูชายังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะร่วมมือกับประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์เพื่อบรรลุถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ปัจจุบันอย่างยุติธรรม ยั่งยืน และสันติโดยเคารพในอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และศักดิ์ศรีร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างแน่วแน่”
โชคดีของกัมพูชา ที่ฝ่ายไทยไม่ได้“ฆ่าความจริงในสงคราม”โดยใช้วิธีการเดียวกับกัมพูชาถ้าหากจะจัดการกับ“ฮุน เซน”เพื่อจบสงครามที่ทรราชผู้นี้เป็นผู้ก่อ ด้วยการส่ง“ F-16”และ“กริพเพน”บินขึ้นไป“ทิ้งไข่”ใส่บ้าน“ฮุน เซน”ในกรุงพนมเปญ
หลังจาก“เสิร์ฟไข่”เสร็จ ซึ่งประสิทธิภาพของความแม่นยำคงน่าจะมาตรฐานเดียวกับที่กองทัพอากาศไทยปฏิบัติการ“ทิ้งไข่”ใส่ฐานที่มั่นทหารกัมพูชาจนราบเป็นหน้ากองมาแล้ว ก็หาโฆษกสตรีสายพันธุ์เดียวกับ พล.ท.(หญิง)มาลี โสเจียตา หรือ“นางดอกไม้”ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม และโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกมาแถลงข่าวตีหน้าซื่อว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไทย
ถึงได้บอกว่าโชคดีของกัมพูชา โดยเฉพาะสองพ่อลูกอาชญากรสงคราม คือ “ฮุน เซน”และ“ฮุน มาเนต”ซึ่งถ้าไทยไม่ใช่“ผู้เจริญแล้ว” หากแต่มีจิตใจเยี่ยง“สัตว์”กระหายสงครามเฉกเช่นคนอย่าง“ฮุน เซน”ป่านนี้“สงครามคงจบ”และ“นับศพทหาร”กันได้แล้ว เพราะเมื่อ“หัวถูกเด็ด”ทุกอย่างก็จบ
บรรทัดนี้ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกองทัพไทยและสภาความมั่นคงแห่งชาติเดินหน้าเรื่องการฟ้องสองพ่อลูก“ตระกูลฮุน”แห่งเขมร ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)ฐานกระทำความผิดอาชญากรรมร้ายแรง จากการก่อ“อาชญากรรมสงคราม”รุกรานไทย
สำหรับสองพ่อลูก“ตระกูลชิน”ของไทย ที่เป็นปมเหตุของสงครามที่กัมพูชาก่อขึ้นในครั้งนี้ด้วย“ผลกรรม”กำลังไล่ล่างวดเข้ามาทุกที โดย“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้พ่อนั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลาสิบโมงเช้า โดยได้นัดจำเลยคือ“ทักษิณ”พร้อมทั้งผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯมาฟังคำสั่งพร้อมกันด้วย ทำให้คนคาดเดาว่าศาลฯอาจจะสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำฯคุมตัวจำเลยเข้าคุกในวันนั้นเลยก็เป็นได้ ส่วนคดีมาตรา 112 หมิ่นสถาบันที่ศาลชั้นต้นนัด "ทักษิณ"ฟังคำพิพากษาวันที่ 22 สิงหาคมนี้นั้น ยังต้องสู้กันถึง 3 ศาลถึงจะจบ
ขณะที่“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้ลูก เมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากไฟเขียวให้ขยายเวลาการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากรณี“คลิปอัปยศ”ที่คุยกับ“อังเคิลฮุน”ออกไปเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 4 สิงหาคมสัปดาห์หน้า และหากไม่ยื่นคำชี้แจงดังกล่าวภายในวันที่ศาลฯขยายเวลาให้ก็จะถือว่าไม่ติดใจอะไร
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีมติถอดถอน“แพทองธาร ชินวัตร”ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีนี้ตามคำร้องของ 36 สว. ก็จะทำให้รัฐบาลผสมชุดนี้ต้องมีอันเป็นไปด้วย
ชาวบ้านร้านตลาดเขาจึงภาวนา อยากจะให้“สองพ่อลูกตระกูลชิน”คู่นี้ ไปให้พ้นๆ เสียทีอะไรต่อมิอะไรที่วุ่นๆ อยู่ในบ้านเมืองเวลานี้ก็อาจจะดีขึ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี