วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ชาติไทยต้องสูญเสีย“เสาหลัก”ของบ้านเมือง จากการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังความเศร้าโศกมาสู่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าด้วยความอาลัยยิ่ง
จากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง มีรายละเอียดว่า สมเด็จฯพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2562 เนื่องจากทรงพระประชวรหลายครั้ง และคณะแพทย์ตรวจพบความผิดปรกติทางระบบต่างๆ ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา จึงได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญ เสด็จฯไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
และตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2568 สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระประชวรจากภาวะติดเชื้อในกระแสพระโลหิต แม้ว่าคณะแพทย์จะถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่พระอาการทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 21 นาฬิกา 21 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษา
ปีที่ 93
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ นับเป็นความสูญเสียดังที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แถลงในนามรัฐบาลผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า วันที่ 24 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยไม่ปรารถนาให้มาถึง เพราะเป็นวันที่สร้างความโทมนัส และความสูญเสียอันยิ่งใหญ่มายังพสกนิกรชาวไทยทุกคน
คำแถลงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในนามของรัฐบาลต้องตรงกับหัวใจของประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ที่มีความจงรักภักดีและเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยภาษาสละสลวยดังที่ยกมาสี่ย่อหน้าถัดจากนี้-ความว่า
“ในเวลานี้ มีแต่เสียงสะอื้นไห้ดังก้องอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดิน ดวงใจของพสกนิกรถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความโศกเศร้า ความอาดูรที่ไม่อาจหาคำใดมาทดแทนได้ เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความรัก และความเมตตาอันเป็นนิรันดร์ การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือได้ว่าเป็นการสูญเสีย “แม่ผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทย”ที่ประชาชนทุกคนต่างรักและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม”
“สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นที่เทิดทูนสักการะของปวงชนชาวไทย ทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีของพระมหากษัตริย์ที่สุดแสนประเสริฐ เป็นหลักชัยของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า สมดั่งพระราชอิสริยยศที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้”
“ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระปรีชาและพระวิริยอุตสาหะมาตลอดรัชสมัยแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โครงการในพระราชดำริทั้งด้านศิลปาชีพ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการสาธารณสุข ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีของ
ราชอาณาจักรไทยที่เป็นความภาคภูมิใจของพสกนิกรชาวไทย และเป็นที่ยอมรับ ชื่นชมในพระปรีชาสามารถจากนานาอารยประเทศ”
“ในการนี้ รัฐบาลจะดำเนินการจัดงานพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ร่วมใจแสดงความอาลัยและน้อมรำลึกจิตอันเป็นบุญกุศล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมทั้งใช้พลังความรัก ความสามัคคี และความจงรักภักดีของพวกเราชาวไทย ถวายเป็นกำลังพระทัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้านี้โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ”
อย่างไรก็ตาม เสียงสะอื้นไห้จากคำแถลงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่า“ดังก้องอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดิน”นั้น เห็นได้จากสองข้างทางที่ขบวนอัญเชิญพระบรมศพ“สมเด็จฯพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”เคลื่อนผ่านจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ไปยังพระบรมมหาราชวัง เมื่อช่วงสี่โมงเย็นวันที่ 26 ตุลาคมเมื่อวานนี้ มีทั้งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า และเสียงสะอื้น
อันเป็นภาพเดียวกับเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ที่ขบบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคลื่อนผ่านจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 14 ตุลาคม 2559 ที่เสียงร่ำไห้เจือด้วยน้ำตาดังระงม ตลอดเส้นทางที่ประชาชนสวมชุดสีดำไว้ทุกข์นั่งเฝ้ารอส่งขบวนอัญเชิญพระบรมศพ
อีกทั้งยังนึกย้อนไปเมื่อ 115 ปีที่แล้ว ในวันที่ขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หรือ“พระปิยมหาราช” อันหมายถึงมหาราชผู้เป็นที่รักของราษฎร เคลื่อนจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหารราชวัง ในวันที่ 24 ตุลาคม 2453 หลังวันสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 หนึ่งวัน ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้บรรยายไว้จากพระนิพนธ์เรื่อง “เมื่อแผ่นดินร้องไห้” ว่า
“ข้าพเจ้าไปคอยเฝ้าพระบรมศพ พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้ม ก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่งดำน้ำตาไหล อย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกลๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามาๆ ในความมืดที่เงียบสงัด และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร”
บรรทัดนี้ขอน้อมเกล้าฯส่งเสด็จ“สมเด็จฯพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”สู่สวรรคาลัยด้วยโคลงกระทู้บทนี้
น้อม ประณตพระบาทเจ้า แม่ฟ้าหลวง
เกล้าฯ พสกไทยทั้งปวง ทั่วหล้า
ส่ง เสด็จฯสู่แดนสรวง วิมานถิ่น
เสด็จฯ สถิต ณ ชั้นฟ้า ฝั่งโพ้นฟากสวรรค์ฯ
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
รุ่งเรือง ปรีชากุล

‘จักรภพ’เผย 2 เหตุการณ์วันประวัติศาสตร์ไทย ส่งเสด็จพระบรมศพฯ-เดินหน้าสันติภาพชายแดน
‘วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย’อภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี เปิดบ้านรับนักศึกษาใหม่ปีการศึกษา 2569
ปรับราคา'สายสีเขียว' 'สงคราม'กระทุ้งรัฐ อย่าโยนภาระขาดทุนให้คนไทยแบกรับ
นายกฯเสนอแนวทางความมั่นคง 3 เสา ขับเคลื่อนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม
ทุบเปรี้ยง!กมธ.วุฒิฯ ชี้ MOU43 เสี่ยงขัด รธน.-กฎหมายในประเทศ เหตุไร้หลักฐาน ครม.เห็นชอบ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี