วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นานหลายเดือน และเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกตีแตกในอีกไม่นานน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็นพระยาวชิรปราการ ได้ตัดสินใจนำทหารผู้ร่วมรบทั้งไทยและจีนประมาณ ๕๐๐ นายหนีออกจากค่ายวัดพิชัย เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๑๐ ตีฝ่าวงล้อมพม่า มุ่งหน้าสู่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก
กองกำลังของพระองค์ยกผ่านบ้านหันตรามาถึงบ้านข้าวเม่า ต้องต่อสู้กับกองกำลังพม่าที่ติดตามมา แต่ก็เอาชนะได้จึงเดินทางเข้าสู่บ้านซำบัณฑิตในตอนเที่ยงคืน ทำให้ทอดพระเนตร
เห็นแสงเพลิงที่กำลังลุกไหม้บางส่วนของกรุงศรีอยุธยา และเชื่อว่าเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พระองค์ตั้งเจตนารมณ์ว่าจะต้องกลับมาแก้คืน เอากรุงศรีอยุธยากลับมาให้ได้
ในวันต่อมาพระองค์ยกกองกำลังมาถึงบ้านพรานนก และที่จุดนี้เองที่ต้องเข้าปะทะกับกองกำลังของพม่ามากกว่า ๒,๐๐๐ นาย พระองค์ทรงสู้รบบนหลังม้าร่วมกับกองกำลังที่ติดตามมา และสามารถเอาชนะทัพพม่าได้เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๐ ซึ่งต่อมาจึงถือเอาวันนี้ว่าเป็นวันทหารม้า
พระองค์ได้เริ่มรวบรวมไพร่พลจนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยต้องต่อสู้กับกลุ่มโจรและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นหลายพื้นที่ ทั้งที่แปดริ้ว ชลบุรี จนมาถึงเมืองระยอง โดยกลุ่มอิทธิพลใหญ่สุดคือกลุ่มของขุนรามหมื่นช่องและนายนกเล็ก โดยขุนรามหมื่นช่องได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี
ก่อนหน้านั้น พระยาจันทบุรีได้เคยพบกับพระเจ้าตาก และได้ตกลงใจว่าจะช่วยกันกอบกู้กรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อได้พบกับขุนรามหมื่นช่อง กลับเปลี่ยนท่าทีแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าตากอย่างชัดเจน ทำให้พระองค์ทรงตัดสินใจที่จะต้องบุกเข้าตีและยึดเมืองจันทบุรีไว้ให้ได้
พระเจ้าตากจึงตัดสินใจยกทัพเข้าประชิดเมืองจันทบุรี ซึ่งพระยาจันทบุรีก็เตรียมป้องกันเมืองอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน พระเจ้าตากเห็นว่าการตั้งทัพล้อมไว้อย่างนี้ไม่น่าจะมีประโยชน์จึงตัดสินใจเข้าตีเมืองจันทบุรี โดยตรัสกับแม่ทัพนายกองและไพร่พล ว่า “เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำคืนวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว ให้แม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งหลายเทอาหารที่เหลือทิ้ง แล้วต่อยหม้อข้าวหม้อแกงที่มีอยู่ให้แตกเสียทั้งหมด” โดยหมายว่าจะเข้าไปกินข้าวด้วยกันในเมืองจันทบุรีวันพรุ่งนี้ หากเข้าตีเมืองจันทบุรีไม่สำเร็จก็ขอให้ได้ตายไปพร้อมกัน
ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพระเจ้าตาก ซึ่งแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างรู้ดีจึงไม่มีผู้ใดขัดขืน ประกอบกับหลักจิตวิทยาของพระองค์ท่าน ทำให้ทหารทั้งหลายเกิดความฮึกเหิม กล้าหาญ ในการที่จะเข้าร่วมรบกับพระองค์เพื่อเข้าตีเมืองจันทบุรีให้แตกให้จงได้
ตกค่ำวันนั้นพระเจ้าตากก็เกณฑ์ทหารไทยจีนทั้งหมดที่มีอยู่เข้าซุ่มอยู่รอบประตูเมือง พร้อมรับสั่งให้คอยฟังเสียงปืนสัญญาณเพื่อจะเข้าร่วมตีเมืองจันทบุรีพร้อมกัน เมื่อตระเตรียมการพร้อมแล้ว ถึงเวลา ๓ นาฬิกา พระเจ้าตากก็ขึ้นทรงช้างพันคีรีบัญชร โปรดให้หลวงพิชัยอาสาทหารคู่พระทัยนำกองทหารนำหน้าช้าง สั่งให้ยิงปืนพร้อมกันทุกด้าน และพระองค์ทรงไสช้างให้เข้าพังประตูเมืองจันทบุรีทหารในเมืองก็ยิงปืนน้อยใหญ่ออกมาอย่างมาก นายท้ายช้างเกรงว่าพระองค์จะเป็นอันตราย พยายามเกี่ยวช้างให้เบนออก ทำให้พระเจ้าตากขัดใจหันมามอง แล้วยกพระแสงดาบขึ้นหมายฆ่านายท้ายช้าง นายท้ายช้างตกใจร้องขอชีวิตไว้ พระองค์จึงไสช้างเข้าพังประตูเมืองจนทลายลง ทหารทั้งหลายก็ติดตามช้างพระที่นั่งเข้าสู่เมืองจันทบุรีได้สำเร็จ ด้วยความตกใจทหารของเมืองจันทบุรีจึงหนีเอาตัวรอด ส่วนพระเจ้าจันทบุรีก็หนีไปอยู่ที่เมืองบันทายมาศ พระเจ้าตากสินเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้สำเร็จ
พระองค์ได้สะสมไพร่พลเพิ่มเติม รวมทั้งเริ่มเสริมกำลังโดยยกทัพไปตีเมืองตราด รวบรวมผู้คนตลอดจนเรือสำเภาจีนที่มาค้าขายได้จำนวนหนึ่ง และยังทรงให้สร้างอู่ต่อเรือขึ้นที่ตำบลหนองเรือ เมืองจันทบุรี ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ต่อเรือรบได้จนครบ ๑๐๐ ลำ มีการฝึกไพร่พลให้มีฝีมือและพร้อมต่อการรบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ เมื่อพ้นฤดูมรสุม พระองค์จึงยกทัพเรือมากกว่า ๑๐๐ ลำ และกำลังพลประมาณ ๕,๐๐๐ นาย ซึ่งมีความเข้มแข็งและกล้าหาญผ่านการฝึกมาอย่างพร้อมเพรียงล่องทะเลขึ้นมาจนถึงปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา และเมื่อถึงกรุงธนบุรี ก็ได้เข้าตีกรุงธนบุรีที่มีนายทองลันเป็นผู้รักษาเมืองที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็ว แล้วจึงยกกองทัพเรือขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา
เมื่อพม่ารู้ว่าพระเจ้าตากกำลังยกทัพเรือมา จึงส่งทัพย่อยมาสกัดทัพเรือของพระเจ้าตากใกล้กับทำเนียบคล้องช้าง แต่ก็พ่ายแพ้ พระเจ้าตากยกทัพเรือไปจนประชิดค่ายโพธิ์สามต้น แยกกำลังทำออกเป็น ๒ ส่วนเพื่อเข้าตีค่ายทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก หลังจากตีค่ายทิศตะวันออกแตกแล้ว ก็เข้าตีค่ายทิศตะวันตกซึ่งมีสุกี้พระนายกองแม่ทัพใหญ่ของพม่ารักษาการอยู่ จนค่ายทิศตะวันตกแตก สุกี้พระนายกองเสียชีวิตในการรบ รวมเวลาที่ใช้ในการเข้าตีเพื่อเอากรุงศรีอยุธยากลับมาเป็นของชาติเราอีกครั้งหนึ่งเพียงแค่ ๒ วัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐ และทรงประกาศอิสรภาพในวันนั้น ใช้เวลาเพียง ๗ เดือน ในการกู้ราชอาณาจักรสยามกลับคืนมา
กองทัพเรือไทยจึงถือว่าเป็นกองทัพเรือที่มีความเข้มแข็งมาตั้งแต่อดีตกาล รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เรียกว่าเหตุการณ์ รศ. ๑๑๒ กองทัพเรือไทยก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและห้าวหาญในการสู้รบกับกองเรือของฝรั่งเศส ประเทศนักล่าอาณานิคมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
จนถึงวันนี้สมรภูมิการสู้รบบริเวณชายแดนระหว่างไทยและเขมรที่เป็นผู้รุกรานยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม เป็นต้นมา และมีการหยุดยิงไประยะหนึ่งตามสัญญาการหยุดยิง แต่เขมรซึ่งเป็นชนชาติที่เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอดีตนายกฯผู้นำและนายกฯคนปัจจุบันตระกูลฮุนที่อยู่เบื้องหลังการรบ จนทำให้เกิดการละเมิดสัญญา โดยทหารเขมรได้ยิงเข้ามายังเขตไทยด้วยอาวุธทั้งเบาและหนักอีกครั้งเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ที่ผ่านมา ทำให้ไทยต้องดำเนินการตอบโต้เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ
การรบในครั้งนี้มีความรุนแรงและขยายพื้นที่การรบตลอดแนวชายแดนไทยเขมรที่อยู่ประชิดกัน ทำให้กองทัพไทยทั้งกองทัพบกซึ่งถือเป็นกำลังหลัก เสริมด้วยกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญและเสียสละอย่างที่สุด
การสู้รบในครั้งนี้ทหารไทยต้องพลีชีพไปแล้วมากกว่า ๒๐ นาย และบาดเจ็บอีกจำนวนไม่น้อย ตลอดจนประชาชนชาวไทยบางส่วนก็เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากการที่เขมรใช้อาวุธจรวดและปืนใหญ่ยิงเข้ามาในเขตที่พักอาศัยของประชาชน เป็นการรบที่ไม่ได้คำนึงถึงมนุษยธรรมตามหลักสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ แต่การพลีชีพเพื่อชาติของทหารกล้าในครั้งนี้ก็ทำให้ไทยสามารถยึดคืนและสถาปนาดินแดนที่เคยเป็นของไทยกลับคืนมาได้เกือบทั้งหมด รวมทั้งพื้นที่เนิน ๓๕๐ ซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างหนัก ขณะนี้ทหารไทยก็สามารถเข้าควบคุมพื้นที่ไว้ได้แล้ว
ในส่วนของกองทัพเรือไทยนั้น ก็ได้ร่วมรบในครั้งนี้และได้แสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพ สมรรถนะและความกล้าหาญในการรบไม่น้อยไปกว่าทัพบกและทัพอากาศ โดยกองทัพเรือรับผิดชอบพื้นที่ทางบกบริเวณบ้านชำราก รวมทั้งพื้นที่ในบริเวณชายแดนเขตจังหวัดตราด พื้นที่ทางทะเล และชายฝั่งทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งบริเวณเกาะกูดเชื่อมไปถึงเกาะกง ภายใต้การดูแลของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินซึ่งเป็นหน่วยรบที่มีความเข้มแข็งเป็นพิเศษอยู่แล้ว โดยร่วมกับหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี ตราด อย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้เข้ายึดพื้นที่บ้านสามหลังในจังหวัดตราดกลับมาเป็นของไทย ทำการสถาปนาพื้นที่และปักธงราชนาวีไทย ซึ่งก็คือธงชาติที่บริเวณกลางผืนธงจะมีช้างเผือกยืนอยู่ในวงกลมสีแดงหันหน้าไปทางก้านธงอย่างเรียบร้อยแล้ว
คงเห็นแล้วว่า ความร่วมมือของ ๓ เหล่าทัพทั้งบก เรือและอากาศ ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล เพื่อรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนไทยและอธิปไตยของชาตินั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง และทั้ง ๓ เหล่าทัพก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ในที่สุด กองทัพไทยจะสามารถสู้รบและเอาชนะเขมรได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านสีส้ม ที่ประกาศว่าทหารมีไว้ทำไม เพราะหากมีสงครามก็รบพ่ายแพ้แน่นอน ส่วนทหารเรือนั้นก็ไม่จำเป็นต้องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ อาทิ เรือดำน้ำซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกำลังสำคัญในการสู้รบและดูแลพื้นที่ใต้ทะเล โดยบอกว่าให้เอาเรือประมงออกรบก็ได้ อันเป็นคำพูดที่ดูถูกดูแคลนกองทัพ เป็นคำพูดของผู้ที่ขาดสติ ขาดปัญญาคือคิดไม่ออก และไม่ได้แสดงถึงความเป็นคนไทยที่รักชาติ และต้องร่วมรักษาอธิปไตยของชาติอันเป็นแผ่นดินเกิดอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งอาจจะต้องยอมพลีแม้แต่เลือดเนื้อและชีวิตเช่นเดียวกับทหารกล้าทั้งจากทัพบก ทัพอากาศ และทัพเรือทั้งหลาย
ปิยะ เนตรวิเชียร

เอาแล้ว!‘ไชยชนก’เผย DSI สอบพบ‘MOUดีอี-บ.สิงคโปร์’โยง 2 นักการเมือง
มีอะไรในกอไผ่! จับตาประชุมอาเซียนนัดพิเศษ เวทีสุดท้ายบนเก้าอี้ประธานของ‘อันวาร์’
'บิ๊กเล็ก'เผยถก'สมช.'ปมพบโดรนใกล้สุวรรณภูมิ
สุรินทร์เฝ้าระวังชายแดน พบทหารเขมรเคลื่อนไหว ใกล้ปราสาทตาเมือนธม-ช่องกร่าง
สีหศักดิ์ ถึงมาเลเซียแล้ว พร้อมย้ำเงื่อนไขหยุดยิง 3 ข้อ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี