วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในทางการเมือง “ความลับ” โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือเรื่องอื้อฉาวที่ขัดกับศีลธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องส่วนตัว หากแต่เป็นทรัพยากรทางการเมืองที่รัฐ นักการเมือง หรือชนชั้นนำใช้ในการต่อรอง ทำลาย หรือปกป้องอำนาจ และนี่คือสิ่งที่ประธานาธิบดี สหรัฐฯ กำลังทำอยู่ในเวลานี้...ซึ่งย้อนแย้งกับประวัติศาสตร์เกือบสองร้อยห้าสิบปีของการเมืองอเมริกัน ที่มักจะอ้างว่าชีวิตส่วนตัวไม่ควรถูกนำมาปะปนกับการบริหารประเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเพศ ความลับ และศีลธรรมส่วนบุคคล กลับเป็นหนึ่งในแกนกลางของอำนาจทางการเมืองมาโดยตลอด
การเมืองอเมริกันเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวแต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การเปิดโปง หากคือ การคัดเลือกว่าจะเปิดโปงอะไร และจะหยุดที่ตรงไหน ในหลายกรณี ความลับถูกเปิดเผยในระดับที่เพียงพอ ที่จะคลายแรงกดดันของสาธารณะ แต่ก็ไม่มากพอที่จะกระทบโครงสร้างอำนาจหลัก
ดังเช่น ท่าทีการปฏิเสธ หลีกเลี่ยง และบ่ายเบี่ยงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อการเปิดเผยแฟ้มเอกสารลับของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน (JeffreyEpstein) มหาเศรษฐี นักธุรกิจ ผู้ต้องหาคดีทางเพศ ที่เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในเรือนจำที่นิวยอร์ก เมื่อหกปีก่อน เอปสตีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง และคนดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น บิล คลินตัน,ตัวทรัมป์เอง, บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์,ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลัง และอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รวมไปถึงอดีตเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก ของราชวงศ์อังกฤษ ที่พึ่งถูกถอดยศเจ้าชาย เนื่องจากพัวพันกับคดีอื้อฉาวดังกล่าว
กรณีของเอปสตีนนั้น แตกต่างจากเรื่องอื้อฉาวทางเพศทั่วไป เอปสตีนไม่ได้เป็นเพียงอาชญากรทางเพศ แต่เป็นปมหนึ่งของอำนาจที่เชื่อมทั้งโลกียะ โลกการเงิน การเมือง และสังคมชั้นสูงเข้าไว้ด้วยกันเพราะมันทั้งพัวพันกับ หญิงงามเมือง เครือข่ายทางการเมืองของชนชั้นนำ ทุนข้ามชาติ กระบวนการยุติธรรม สถาบันกฎหมาย และข่าวกรอง
โดยทั่วไป สหรัฐอเมริกามักถูกมองในฐานะต้นแบบของการเมืองโปร่งใส มีกฎหมายข้อมูลข่าวสารที่ก้าวหน้า (Freedom of Information Act)มีสื่อมวลชนเชิงสืบสวนที่เข้มแข็ง และยังมีวัฒนธรรมการเปิดโปง (Whistleblowing) ที่เข้มข้น แต่กระนั้นก็ดี สหรัฐฯ ก็เป็นประเทศที่มีระบบเอกสารลับหน่วยข่าวกรอง ระบบกลไกความลับ การปิดบังข้อมูลที่ซับซ้อนที่สุดระบบหนึ่งของโลกอีกเช่นกัน ตั้งแต่ เอกสารลับด้านความมั่นคง แฟ้มข่าวกรอง ข้อตกลงเบื้องหลังทางการเมือง ไปจนถึงข้อตกลงนอกระบบของชนชั้นนำ
นี่คือ..ความย้อนแย้งแบบอเมริกัน ในเรื่อง การเมืองของความลับ (Politics of Secrecy) กล่าวคือ....เปิดเผยบ้าง เพื่อให้ไม่ต้องเปิดเผยทั้งหมด ในขณะที่การเมืองแบบประชาธิปไตยนั้นต้องการ ความผิดพลาดที่ถูกเปิดเผย การตรวจสอบที่ไม่ถูกลงโทษ และความจริงที่ไม่ถูกผูกขาด....กรณีเอปสตีน เป็นตัวอย่างชัดเจนที่เอกสารบางส่วนถูกเปิดพอให้สังคมรับรู้ว่ามีปัญหา แต่ไม่มากพอที่จะสั่นคลอนโครงสร้างชนชั้นนำทั้งหมด
และหากจะมีบุคคลใดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันที่สะท้อนแนวคิดการเมืองของความลับได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ชื่อนั้นย่อมไม่อาจเป็นใครไปได้นอกจาก เจ เอ็ดการ์ ฮูเวอร์
(J. Edgar Hoover) ผู้อำนวยการสำนักสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ (๒๔๖๗ - ๒๕๑๕) ผ่านประธานาธิบดีถึงแปดคน ตั้งแต่ Calvin Coolidge จนถึง Richard Nixon
ฮูเวอร์ ไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เขาไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง และแทบไม่ปรากฏตัวในเวทีการเมืองสาธารณะ แต่ในทางปฏิบัติ เขากลับเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในระบบการเมืองอเมริกันสมัยศตวรรษที่ ๒๐ อำนาจของฮูเวอร์ไม่ได้อยู่บนคะเสียงเลือกตั้ง แต่อยู่บนความลับความรู้ และการควบคุมข้อมูล เขาไม่ได้เป็นเพียง ผู้อำนวยการ FBI แต่เป็น สถาปนิกของการเมืองแห่งความลับ (political secrecy)ของสหรัฐอเมริกา
ฮูเวอร์ เข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ในรัฐประชาธิปไตยที่การใช้อำนาจอย่างเปิดเผยต้องถูกตรวจสอบดังนั้น ความลับคือทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงสุด เขาจึงสร้าง FBI ให้เป็นองค์กรที่สะสมข้อมูลส่วนตัวของนักการเมือง นักเคลื่อนไหว ศิลปิน คนดัง ดารานักแสดง นักวิชาการ และบุคคลสาธารณะจำนวนมาก แฟ้มข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกอาชญากรรม แต่รวมไปถึง ชีวิตทางเพศ ความสัมพันธ์นอกสมรส รสนิยมทางเพศ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจนอกระบบ หรือทุนสีเทา
สหรัฐฯ ไม่เคยเป็นชาติที่อยู่เหนือเรื่องเพศ แต่เป็นชาติที่ใช้เรื่องเหล่านี้เป็นทั้งเครื่องมือควบคุม ต่อรอง และทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ดังนั้น ด้วยท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกรณีแฟ้มเอกสารลับของเจฟฟรีย์ เอปสตีน จึงไม่ควรถูกมองข้ามเป็นเพียงเรื่องของปัญหาทางกฎหมายหรือข่าวซุบซิบ นินทา แต่ควรถูกอ่านในฐานะ การเมืองแห่งความลับนั้นคือ อำนาจทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่การมีศีลธรรมสูงส่ง แต่อยู่ที่การควบคุมเรื่องอื้อฉาวได้มากกว่ากัน นี่คือรูปแบบของอำนาจที่ไม่ต้องใช้คำสั่ง ไม่ต้องใช้กำลัง แต่ทำงานผ่านความเป็นไปได้ของการเปิดโปง ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าการบังคับโดยตรง
การเมืองของความลับ ชี้ให้เห็นว่า ความลับไม่ใช่เป็นแค่ผลข้างเคียงของการเมือง แต่เป็นวิธีปกครองรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐไม่เพียงใช้อำนาจผ่านกฎหมาย นโยบาย หรือการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังใช้อำนาจผ่านการกำหนดความรับรู้ของผู้คนว่า อะไรควรถูกเปิดเผย และอะไรควรถูกปปกปิด ความลับหรือเรื่องอื้อฉาวบางประเภท ถูกปิด ถูกทำให้เป็นข่าวลือ หรือถูกทำให้ไม่ควรต่อความยาวสาวความยืดการเปิดเผยความลับบางส่วนทำหน้าที่สร้างภาพของความโปร่งใส ในขณะที่ความลับที่สำคัญระดับโครงสร้างยังคงถูกเก็บไว้
การเมืองของความลับ ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของประชาธิปไตย เพราะฐานคิดเรื่องการเมืองของความลับ กับ ตรรกะของประชาธิปไตย มักจะไปด้วยกันไม่ได้ ประชาธิปไตยตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ประชาชนสามารถตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่เพียงพอ แต่เมื่อความลับถูกใช้เป็นทรัพยากรทางอำนาจ เมื่อความจริงถูกผูกขาด การเลือกตั้งย่อมกลายเป็นการตัดสินใจภายใต้ความไม่รู้ การตรวจสอบกลายเป็นพิธีกรรม และความรับผิดชอบทางการเมืองกลายเป็นเพียงวาทกรรม กรณีเอกสารลับของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน เป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งพื้นฐานของสองสิ่งนี้ กล่าวคือ ยิ่งรัฐอ้างความเป็นประชาธิปไตยมากเท่าใด กลไกของความลับ ก็ยิ่งมีความเป็นระบบ เป็นสถาบัน และมีเหตุผลเชิงศีลธรรมรองรับมากยิ่งขึ้น
กระนั้นก็ดี การเมืองของความลับ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกประชาธิปไตย แต่เป็นกลไกภายในของประชาธิปไตย(แบบชนชั้นนำ) และกลับดำรงอยู่ได้อย่างดีเยี่ยมภายในระบอบนี้ ตราบใดที่สังคมยอมรับว่าความจริงบางอย่าง “ไม่ควรถูกถาม” เพราะความลับนั้นถูกใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพของชนชั้นนำ มากกว่าผลประโยชน์ของสาธารณะ และอำนาจที่แท้จริงก็ไม่ได้ไหลเวียนผ่านการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่ผ่านการควบคุม “สิ่งที่ประชาชนไม่รู้ และไม่ควรรู้”
ดร.ธิติ สุวรรณทัต

ผ่ากลยุทธ์'ค่ายสีน้ำเงิน' ไม่เร้าอารมณ์! เน้นทำได้ทำจริง
ปลัดนนท์ ยื่นใบลาออก ลงสมัครชิง สส.นนทบุรี พรรคภูมิใจไทย ลั่นเปลี่ยนเวลาราชการเป็นเวลาราษฎร
นักวิชาการ มธ. วิเคราะห์กระแสเลือกตั้ง ชี้ผลโพล'คนกรุงเกือบครึ่งยังลังเล' พบได้ไม่บ่อย
ไม่น่าเชื่อ พนง ถึงกับร้องไห้หนักมาก เมื่อเห็นสิ่งที่ลูกค้าทำ ชมคลิป
(คลิป) แพทองธาร หน้าเจื่อน! ตอบคำถามสื่อ ยศชนัน คะแนนดีขึ้น!

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี