นายทีนจอ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (ชื่อเดิมพม่า) ประกาศลาออก เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561 โดยไม่ได้ชี้แจงเหตุผลที่ลาออกเพียงกล่าวสั้นๆ ผ่านทางเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า“ต้องการพักผ่อน” ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงให้แก่ชาวเมียนมา และประชาคมโลก นอกจากปัญหาสุขภาพแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งของการลาออกน่าจะมาจากความขัดแย้งภายในพรรค
หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เดียวที่ประชุมรัฐสภาเมียนมาได้ลงมติเลือก นายวิน หมินท์อายุ 66 ปี สมาชิกของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี(National League for Democracy–NLD)ให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 โดยได้รับคะแนนเสียง 403 คะแนนจากทั้งหมด 636 เสียงในสภาเอาชนะ นายมินต์ ส่วย รักษาการประธานาธิบดีที่ฝ่ายทหารหนุนหลัง นายวินหมินท์ เป็นอดีตสภาผู้แทนราษฎร และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และผู้พิพากษาศาลฎีกา วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คือ 5 ปี
นายวิน หมินท์ ถือได้ว่าเป็นคนสนิทกับนางออง ซาน ซู จี เพราะเคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในเหตุการณ์เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยปีพ.ศ. 2531
สำหรับนายทีนจอ อดีตประธานาธิบดี ในอดีตเป็นนักเขียน และนักวิชาการพม่า สังกัดพรรคเอ็นแอลดี ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559ขณะนั้นมีอายุ 70 ปี เป็นผู้นำพลเรือนคนแรกนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2505
คนในประเทศและทั่วโลกต่างทราบดีว่า ทั้งนายวิน หมินท์ และนายทีนจอเป็นผู้นำทางพิธีการ แต่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศที่แท้จริง คือ นางออง ซาน ซู จี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ที่คนส่วนมาก เมื่อถูกถามว่า ใครคือประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มักจะหลงตอบว่า เป็น นางออง ซาน ซู จี ซึ่งตอนที่หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีให้กับนายทีนจอ เธอกล่าวว่า
แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่จะเป็นผู้อยู่เหนือประธานาธิบดีและบริหารประเทศ
ความเด็ดเดี่ยวและยืนหยัดในหลักการต่อสู้ของนางออง ซาน ซุ จี ทางการเมืองโดยสันติวิธี ทำให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ พ.ศ. 2534
ปัจจุบันนางออง ซาน ซู จี เป็นหัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดี นางออง ซาน ซู จี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญของเมียนมา บุคคลที่จะเป็นประธานาธิบดีนั้น คู่สมรสและบุตรต้องไม่ถือสัญชาติอื่น แต่นางออง ซาน ซู จีมีสามีเป็นชาวอังกฤษ และมีบุตร 2 คนที่ถือสัญชาติอังกฤษ
นางออง ซาน ซู จี เป็นบุตรนายพลอองซาน และดอว์ขิ่นจี นายพลออง ซาน ได้รับการยกย่องให้เป็น “วีรบุรุษเพื่ออิสรภาพของประเทศ” จากการปกครองของสหราชอาณาจักรปัญหาการเมืองภายในทำให้นายพลออง ซานถูกลอบสังหาร ขณะที่เธอมีอายุเพียง 2 ขวบ
นางออง ซาน ซู จี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่กรุงนิวเดลี ขณะนั้นมารดาดำรงตำแหน่งทูตพม่าประจำอินเดีย และสำเร็จปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดสหราชอาณาจักร ในปีพ.ศ. 2515 ได้สมรสกับนายไมเคิล อริส ชาวอังกฤษ และมีบุตรชายสองคน ด้วยหน้าที่การงานทำให้ครอบครัวต้องใช้ชีวิตในประเทศต่างๆ
นางออง ซาน ซู จี ได้กลับมาบ้านเกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 เพื่อดูแลมารดาที่เจ็บป่วย เมื่อบุตรนายพลออง ซานผู้ที่เป็นวีรบุรุษในใจกลับมา ประชาชนจึงต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะประเทศปกครองแบบเผด็จการทหาร จนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ประชาชนทั่วประเทศได้ลุกฮือต่อต้านรัฐบาล เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ทหารจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ประชาชนล้มตายจำนวนมาก
นางออง ซาน ซู จี ได้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาที่เป็นอิสระ เพื่อเตรียมการเลือกตั้งแบบพรรคการเมืองหลายพรรค เพื่อความเป็นประชาธิปไตย แต่รัฐบาลกลับจัดตั้ง “สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐหรือสลอร์ค” ขึ้นแทน และออกกฎห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 4 คน หากฝ่าฝืน สามารถจับกุมและลงโทษได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบสวน
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 นางออง ซาน ซู จี ได้จัดตั้ง “พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์มารดาได้เสียชีวิต ช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม พ.ศ.2531 นางออง ซาน ซู จี ได้ฝ่าฝืนกฎของรัฐบาล โดยไปปราศรัยตามที่ชุมนุมของประชาชนทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมพ.ศ. 2532 รัฐบาลจึงสั่งกักบริเวณนางออง ซาน ซู จี ให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นเวลา 3 ปีและได้จับกุมสมาชิกพรรค แม้จะถูกกักบริเวณพรรคเอ็นแอลดีกลับได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งที่มีขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 แต่รัฐบาลปฏิเสธที่จะโอนอำนาจ และพยายามกันเธอออกจากการเมือง โดยให้เหตุผลว่า เธอมีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติสามีเธอได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระหว่างที่เธอถูกกักกัน
นางออง ซาน ซู จี ได้รับอิสรภาพ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ส่วนหนึ่งมาจากแรงกดดันจากนานาประเทศ ทั้งรัฐบาลทหารต้องการเปิดประเทศ เพื่อความอยู่รอดและเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองเพราะหลายประเทศต้องห้ามนำเข้าสินค้า หากไม่ให้อิสรภาพแก่เธอ ประเทศไม่สามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้ รัฐบาลทหารจึงยอมให้เธอมีบทบาททั้งการเมืองภายในประเทศ และบนเวทีโลก โดยเธอได้พบกับผู้นำสำคัญของประเทศต่างๆ
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 พรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เข้าครองทั้งสภาสูง และสภาล่าง แม้ลูกพรรคจะได้ตำแหน่งประธานาธิบดี และเธอได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีประจำทำเนียบประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม มาตราในรัฐธรรมนูญยังสงวนที่นั่ง 1 ใน 4 ของสภาให้กับกองทัพ และตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงกลาโหม มหาดไทย และกิจการชายแดน ทั้งยังให้สิทธิยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และควบคุมกิจการด้านความมั่นคง
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อมีปัญหาในเรื่องชาวมุสลิมโรฮีนจาในรัฐยะไข่จึงดูเหมือนว่า นางออง ซาน ซู จี ได้มีท่าทีที่เฉยเมย และไม่กระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แม้ว่าจะถูกกดดันจากนานาชาติ และองค์กรต่างประเทศหลายแห่งที่เคยมอบรางวัลระดับประเทศให้เธอก็ตาม เพราะอำนาจที่แท้จริงยังอยู่ในมือของกลุ่มทหารในเมียนมา
ประธานาธิบดีเมียนมาคนใหม่จะบริหาร และแก้ไขปัญหาประเทศอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี