เรื่องราวและความเคลื่อนไหวภายในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเป็นเรื่องที่อาจจะกล่าวได้ว่าเร้นลับค่อนข้างมาก ทั้งๆ ที่องค์กรสื่อสารมวลชนแห่งนี้มีปัญหาภายในมากมาย อาทิ ปัญหาการบริหารงานภายใน ปัญหาการสรรหาและสอบคัดเลือกบุคลากร ปัญหาการใช้เงินงบประมาณไม่ถูกต้องตามหลักความโปร่งใส และปัญหาการเล่นพรรคเล่นพวก รวมถึงปัญหาการตั้งกรรมการสอบบุคคลภายในองค์กรที่ถูกระบุว่ากระทำความผิด แต่สุดท้ายผลการสอบสวนก็ถูกเก็บเงียบ ไม่มีการเปิดเผยต่อประชาคมภายในองค์กร จึงทำให้เกิดคำครหากันมากมายว่าองค์กรสื่อฯแห่งนี้น่าจะมีปัญหาด้านธรรมาภิบาล
ข้อเท็จจริงที่สาธารณชนต้องตระหนักตลอดเวลาคือ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสใช้เงินในการดำเนินกิจการจากภาษีบาป หรือหากจะเรียกให้ไพเราะมากขึ้นก็คือภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) ปีละ2 พันล้านบาท มีการตั้งคำถามหลายต่อหลายครั้งจากสาธารณชนว่า เงินจำนวนนี้ถูกใช้จ่ายด้วยความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้จริงหรือ
ฝ่ายบริหารไทยพีบีเอสอ้างว่าองค์กรมีความโปร่งใส มีการประเมินผลงานเป็นประจำทุกปีโดยมีคณะกรรมการประเมินซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทำหน้าที่นี้ นอกจากนั้น ไทยพีบีเอสยังต้องทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีเพื่อชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยในรายงานดังกล่าวประกอบด้วยข้อมูลด้านการเงินและการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนกรรมการนโยบายและผู้บริหารองค์กรต้องรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี และตอบข้อซักถามต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทุกปี และยังมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารทรัพย์สินของไทยพีบีเอสทุกปี ขณะเดียวกัน ไทยพีบีเอสยังถูกกำกับและดูแลโดยภาคประชาชน ผ่านสมาชิกสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ จำนวน 50 คน
แต่ข้ออ้างก็คือข้ออ้าง ส่วนความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง แต่สำหรับคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงของไทยพีบีเอส
ต่างประจักษ์ดีว่าข้ออ้างกับความจริงเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ และรู้ดีด้วยว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อท้วงติงเรื่องการใช้เงินของไทยพีบีเอสอย่างไรบ้าง และรู้มากไปกว่านั้นด้วยว่า ไทยพีบีเอสทำตามข้อท้วงติงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือไม่
สาธารณชนที่ติดตามเรื่องราวของไทยพีบีเอสมักจะตั้งคำถามถึงความโยงใยกันอย่างน่าเคลือบแคลงระหว่างผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งนี้กับผู้บริหารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แล้วจนกระทั่งบัดนี้ข้อสงสัยต่างๆ ก็ดูเสมือนจะได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว หลังจากมีกลุ่มคนในระดับผู้บริหารของสสส.จำนวนหนึ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอส
ครั้นเมื่อยิ่งพินิจพิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวบุคคลที่กินตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสจำนวนหนึ่งก็จะยิ่งพบว่ามีความโยงใยกับผู้ที่มีความสัมพันธ์กับสสส.ในระดับต่างๆ เด่นชัดยิ่งขึ้น
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้คือ กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้อำนวยการคนปัจจุบันขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือที่รู้จักกันในนามไทยพีบีเอส ซึ่งเคยรับตำแหน่งผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2553แต่ภายหลังเมื่อกฤษดาดูเสมือนว่าประสบปัญหาการทำงานในสสส. ก็จึงลาออกจากสสส. แล้วจากนั้นไม่นานก็เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของไทยพีบีเอส
ส่วนอีกรายคือ วิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ อดีตอาจารย์จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วไปอยู่ที่สสส. ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม ซึ่งล่าสุดรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการส.ส.ท.
ในเมื่อไทยพีบีเอสยุคปัจจุบันมีผู้บริหารระดับสูงที่สังคมพยายามจะยอมรับว่าเป็นคนมือสะอาด ก็ทำให้สังคมเกิดความคาดหวังว่าผู้บริหารไทยพีบีเอสจะต้องพยายามกวาดล้างและทำความสะอาดไทยพีบีเอสอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อให้การใช้เงิน
ปีละ 2 พันล้าน ขององค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถให้ผลผลิตที่มีประสิทธิผลสูงสุดต่อสังคมไทย
ผู้เขียนพยายามจะมั่นใจและเชื่อใจว่าผู้บริหารยุคใหม่ของไทยพีบีเอสที่เข้าทำหน้าที่ได้ประมาณ 6 เดือน จะสามารถยกระดับความมีคุณธรรมขององค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรมได้ในเร็ววัน และหวังว่าจะเข้าไปชำระล้างความสกปรกต่างๆ ที่ฝังตัวอยู่ภายในไทยพีบีเอสให้หมดสิ้นไป รวมถึงลงโทษผู้กระทำผิดโดยไม่ต้องไว้หน้าใคร หรือต้องเกรงใจใครทั้งสิ้น
ประเด็นที่ผู้เขียนและสาธารณชนปรารถนาจะเห็นว่าผู้บริหารชุดใหม่ที่ทำงานมาได้ประมาณครึ่งปีจะเร่งทำความจริงให้ปรากฏคือ
1. เรื่องการเบิกเงินค่ายานพาหนะที่ไม่น่าจะถูกต้องของฝ่ายบริหารรายละ 27,000 บาทต่อเดือน (เรื่องนี้ได้นำเสนอไปแล้วในคอลัมน์นี้ และทราบว่ามีผู้บริหารบางรายยอมคืนเงินดังกล่าวให้กับไทยพีบีเอสบ้างแล้ว แต่ก็มีอีกหลายคนยังไม่ยอมคืน)
2. เรื่องการสอบคัดเลือกฝ่ายบริหารระดับสูงขององค์กรที่ถูกระบุชัดว่าไม่โปร่งใสจนต้องมีการยกเลิกการสอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะมีการลงโทษผู้กระทำผิดแต่ประการใด
3. เรื่องการตั้งกรรมการสอบความผิดของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสระดับผู้อำนวยการสำนักอย่างน้อยสองราย ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อประชาคมและต่อสาธารณชน
4. เรื่องตอบโจทย์ตอนสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเด็นนี้ไทยพีบีเอสยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อสังคม ทั้งๆ ที่เรื่องนี้อนุกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ได้มีมติไปแล้วด้วยเสียงข้างมากว่าต้องเยียวยาต่อสังคม (คดีนี้อยู่ที่สำนักงานสอบสวนคดีพิเศษแล้ว)
5. เรื่องการเบิกจ่ายเงินค่าเครื่องบินไปสหรัฐอเมริกาของกรรมการบางรายที่ใช้จ่ายโดยไม่ถูกต้อง
6. เรื่องที่ไม่สามารถปิดบัญชีเพื่อสรุปการใช้จ่ายของสภาผู้ชม (เรื่องนี้ค้างคามาเป็นเวลาอย่างน้อย3-4 ปีแล้ว)
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้บริหารสูงสุดของไทยพีบีเอสจะเร่งทำความกระจ่างในปัญหาต่างๆ นานาที่ค้างคามายาวนานภายในองค์กรให้หมดสิ้นโดยเร็ว และหวังเช่นกันว่าผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสจะกล้าหาญทางจริยธรรมในการพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดโดยเน้นหลักธรรมาภิบาลเป็นที่ตั้ง
ผู้เขียนเชื่อว่า คนไทยทุกคนยินดีให้กำลังใจกับผู้บริหารไทยพีบีเอสทุกคนทำในสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม และดีงาม เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของสาธารณชน
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี