ไม่เคยปรากฏเลยแม้แต่ปีเดียวว่าผลงานของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะติดอันดับทีวียอดนิยม 10 อันดับแรก จากการสำรวจผลความนิยมโดยสำนักสำรวจต่างๆ แม้สถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะได้รับเงินกินเปล่าจากภาษีบาป เพื่อสนับสนุนกิจการของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้เป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาลถึงปีละ 2 พันล้านบาท
ขอถามคุณตรงๆ เลยว่า การที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสใช้เงินอย่างน้อยปีละ 2 พันล้านบาท แต่กลับทำรายการแล้วไม่เคยได้รับความนิยมจากผู้ชม เมื่อความจริงปรากฏเช่นนี้เสมอมา แล้วยังมีความจำเป็นที่จะต้องถลุงเงินปีละ 2 พันล้านบาทไปกับความเปล่าประโยชน์อีกหรือ
เงินปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาทนั้น สมควรที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ชัดเจนให้สังคมไทย มากกว่าการใช้เงินก้อนนี้โดยเปล่าประโยชน์ในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ใช่หรือไม่
ยกตัวอย่างผลการสำรวจความนิยม (Rating Survey) ของผู้รับชมรายการต่างๆ จากสถานีโทรทัศน์ในเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง prime time (เวลา 18.20-22.30 น.) สำรวจโดยบริษัทนีลเซน ปรากฏว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ยังคงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดจากคนทั่วประเทศไทย ส่วนสถานีโทรทัศน์เวิร์คพ้อยท์ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งจากผู้ชมในเขตกรุงเทพฯ
ส่วนสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ช่อง 3, ช่อง One, Mono, ช่อง 8, อมรินทร์ทีวี, ไทยรัฐทีวี, Now, Boomerang, PPTV และ True ก็ได้รับคะแนนนิยมลดหลั่นกันลงไป แต่ไม่ปรากฏว่ามีสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสติดอันดับความนิยมช่วงต้นๆ ของการสำรวจการรับชมช่วง prime time
แต่ถ้าหากดูผลการสำรวจความนิยมของการรับชมในช่วงเวลา 06.00-24.00 น. ในช่วงเดือนเมษายน 2560 ก็จะพบว่าสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และช่อง GMM ยังสามารถเบียดขึ้นมาติดอันดับช่องยอดนิยมในลำดับที่ 13 ได้ แต่ก็ยังคงไม่มีช่องของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้รับความนิยมในอันดับ 1 ถึง 13 อยู่เช่นเดิม
หากจะมีผู้โต้แย้งว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และช่อง 5 ก็ไม่ติดอันดับทีวียอดนิยมเช่นกัน แล้วเหตุใดผู้เขียนจึงไม่กล่าวถึงบ้าง
คำตอบก็คือ เพราะสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ไม่ได้รับเงินฟรีๆ จากภาษีบาปปีละ 2 พันล้านบาท เหมือนเช่นไทยพีบีเอสได้รับเป็นประจำทุกๆ ปี แต่ทว่าเขาหาเงินเพื่อดำเนินธุรกิจด้วยลำแข้งของเขาเอง ส่วนสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลน้อยกว่าไทยพีบีเอสมากมายนัก
เมื่อย้อนกลับไปดูการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 จะพบว่าได้เงินมาจากงบประมาณแผ่นดินเพียงน้อยนิด คือ 8 ล้านบาท เมื่อได้เงินเริ่มต้นกิจการน้อยมากจึงจำเป็นต้องขอรับบริจาคจนเลอะไปหมด เช่น ขอรับบริจาคจากประชาชน ขอจากเงินงบประมาณแผ่นดิน ขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลต่างประเทศเช่น ญี่ปุ่น และเบลเยียม เป็นต้น มีข้อมูลว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเคยให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า 330 ล้านบาท กับรัฐบาลไทยเพื่อใช้ในกิจการของสถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11
เมื่ออ่านข้อมูลจากย่อหน้าข้างต้น คุณๆ ต้องสามารถเห็นถึงความแตกต่างระหว่างการได้มาซึ่งเงินสำหรับบริหารกิจการของโทรทัศน์ช่อง 11 กับไทยพีบีเอสแล้วใช่ไหม มันแตกต่างกันมากมายใช่หรือไม่
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการได้มาซึ่งเงินทุนสำหรับใช้บริหารกิจการของสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทุกช่องล้วนแล้วแต่ต้องหาเงินทุนด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่มีสถานีโทรทัศน์เอกชนช่องใดได้รับเงินฟรี หรือเงินกินเปล่าจากภาษีบาปแม้แต่ช่องเดียว แต่ถึงแม้เขาจะต้องดิ้นรนหาเงินทุนมาเพื่อดำเนินกิจการให้อยู่รอดให้จงได้ เขาก็ยังสามารถผลิตรายการซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ประชาชน แต่สำหรับไทยพีบีเอสนั้นได้เงินก้อนมหึมาถึงปีละอย่างน้อย 2 พันล้านบาทมาโดยไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไร แต่ถึงแม้จะได้เงินฟรีก้อนโตมาตลอด แต่ก็ไม่สามารถผลิตรายการที่มีผู้นิยมได้
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งมักจะกล่าวอ้างเสมอๆ ว่าเขาคือบุคคลผู้หนึ่ง
ที่มีส่วนผลักดันให้ไทยพีบีเอสถือกำเนินขึ้นมา ได้กล่าวถึงไทยพีบีเอสเมื่อเร็วๆ นี้ ในทำนองว่า ไทยพีบีเอสจะต้องผลิตรายการ และข่าวสารสาระที่มีคนดูเป็นจำนวนมากๆ จึงจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ เน้นว่าต้องมีคนดูจำนวนมากๆ ต้องมีคนรักมากๆ จึงจะอยู่รอดได้ ต้องผลิตรายการที่เป็นอันดับหนึ่งให้ได้ ถ้าไทยพีบีเอสไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ หรือยังทำงานแบบเดิมๆ สถานีโทรทัศน์ช่องนี้ก็คงไม่มีความจำเป็นต่อสังคมอีกต่อไป เพราะจะมีหรือไม่มีทีวีช่องนี้ คนก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีความจำเป็นกับเขา ยิ่งถ้าหากทำรายการแล้ว ปรากฏว่าไม่มีคนดู ก็นับว่าเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นต้องผลิตรายการแล้วมีคนดู การที่ได้เงินมาถึงปีละ 2 พันล้านบาท แต่ทำรายการแล้วไม่มีคนดู จะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นคนในไทยพีบีเอสต้องตอบเรื่อง Rating (ความนิยมของผู้ชม) ให้ได้ แต่ปรากฏว่าเมื่อถามคนไทยพีบีเอสแล้วกลับไม่สามารถตอบเรื่อง Rating ของช่องตัวเองได้ ในขณะที่สื่อฯ เอกชนช่องอื่นๆ เขาสามารถตอบเรื่อง Rating ได้อย่างชัดเจน หากตอบเรื่องนี้ไม่ได้ จะทำให้เกิดแรงริษยาจากภายนอกต่อไทยพีบีเอส และจะมีแรงกดดันจากพลังการเมืองเข้ามาบีบไทยพีบีเอสอีกด้วย นอกจากนี้ ไทยพีบีเอสจะต้องไม่มีปัญหาภายในองค์กร ต้องไม่มีข่าวร้าย ต้องไม่ทะเลาะกันภายในองค์กร ต้องทำให้มีคนรักไทยพีบีเอสมากๆ ไทยพีบีเอสอาจจะเหลือเวลาอีกเพียงปีเดียวที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่าสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ยังสำคัญและจำเป็นต้องสังคมไทย
เนื้อหาข้างต้นนั้นมาจากการจับความจากคำพูดของสมเกียรติ ที่ไปร่วมสัมมนาเรื่องของไทยพีบีเอส แต่มีสิ่งหนึ่งที่สมเกียรติพูดคือ แรงริษยาจากภายนอกต่อไทยพีบีเอส
ประเด็นนี้น่าสนใจมาก รวมถึงยังมีคำถามด้วยว่า ใครริษยาไทยพีบีเอส แล้วเขาเกิดความริษยาเพราะเหตุผลใด อันที่จริงจะบอกว่ามีใครริษยาไทยพีบีเอสก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะจริงๆ แล้วนักข่าวจากสำนักข่าวอื่นๆ หรือเจ้าของสื่อฯ แขนงอื่นๆ เขามองไทยพีบีเอสว่า มีสถานภาพที่แสนสบาย ไม่จำเป็นต้องหาเงินเพื่อทำกิจการ ในขณะที่คนในสื่อฯ อื่นๆ นั้นเขาทุกคนล้วนต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อทำกิจการสื่อฯ กันอย่างลำบากยากเข็ญเลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้เงินสักแสนบาทก็แทบจะต้องก้มลงกราบเจ้าของเงินที่ซื้อโฆษณา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีปัญญาสร้างสรรค์รายการที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมากจนติดอันดับความนิยมอันดับ 1 ถึง 10 ซึ่งเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ยังไม่เคยบังเกิดขึ้นได้ในไทยพีบีเอสแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่ก่อตั้งกิจการมาจนครบ 10 ปีในปีนี้
อันที่จริง สมเกียรติควรจะต้องฟันให้ตรงประเด็นในเรื่องการทุจริตต่างๆ นานา และเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวก รวมถึงประเด็นการไม่มีธรรมาภิบาล ซึ่งเกิดขึ้นภายในไทยพีบีเอส เพราะสาธารณชนเชื่อว่าสมเกียรติคงจะรู้เรื่องเหล่านี้บ้างพอสมควร ดังจะพบได้จากคำเตือนโดยนัยจากสมเกียรติที่บอกว่า หากไทยพีบีเอสไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งภายในองค์กรได้ หรือถ้าเกิดข่าวไม่ดีขึ้นภายในไทยพีบีเอส ก็อาจจะไม่มีการสัมมนาเรื่องราวของไทยพีบีเอสอีกในปีต่อๆ ไป
อย่างไรก็ตาม มีการพูดกันทำนองทีเล่นทีจริงในกลุ่มผู้ผลิตสื่อฯ ว่า ถ้าหากรัฐบาลจะแบ่งเงินภาษีบาปปีละ 2 พันล้านบาทที่ทุ่มให้กับไทยพีบีเอสมาโดยตลอด โดยแบ่งเงินให้กับทีวีช่องอื่นๆ สักช่องละ 50-100 ล้านบาทต่อปี แล้วกำหนดให้ทีวีช่องอื่นๆ ผลิตรายการสำหรับเด็ก รายการการศึกษา รายการอนุรักษ์พิทักษ์สิ่งแวดล้อม รายการศิลปวัฒนธรรม รายการข่าว รายการด้านสุขภาพอนามัย และรายการเพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกทำร้ายทารุณ รับรองว่าทีวีช่องอื่นๆ สามารถผลิตรายการได้ดีและน่าสนใจมากกว่าไทยพีบีเอสผลิตอย่างแน่นอน
แนวความคิดนี้น่าสนใจมาก และรัฐบาลควรจะนำไปพิจารณาว่าสมควรจะแบ่งเงินภาษีบาปให้กับทีวีช่องอื่นๆ เพื่อนำไปผลิตรายการดีๆ มีคุณภาพสำหรับสังคมไทยหรือไม่
อีกประเด็นหนึ่งที่ไทยพีบีเอสถูกวิญญูชนวิพากษ์อย่างหนักคือ เรื่องที่คณะกรรมการนโยบายขององค์กรมักจะเป็นผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีเข้าไปครองตำแหน่ง โดยกรรมการบางคนก็เกษียณอายุราชการจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่จ้างอีกต่อไป แต่สุดท้ายก็กลับไปนั่งกินตำแหน่งสูงๆ ได้รับเงินเดือนหลักแสนจากไทยพีบีเอส คำถามคือ คนที่เกษียณอายุราชการเหล่านั้นมีความรู้เรื่องการทำงานในกิจการโทรทัศน์ที่ต้องปรับตัวให้ทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ
ยังมีเรื่องน่าตั้งคำถาม น่าสงสัย และน่าค้นหาคำตอบจากไทยพีบีเอสอีกมากมายหลายประการ เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในความสนใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของภาษีทั้งประเทศ และมีการตั้งคำถามตรงกันว่า ไทยพีบีเอสใช้เงินภาษีบาปปีละ 2 พันล้านบาทได้คุ้มค่าและก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อสังคมไทยจริงหรือและยังจำเป็นต้องให้เงินปีละ 2 พันล้านบาท กับไทยพีบีเอสต่อไป หรือไม่
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี