แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแปล (Sufficiency Economy) เป็นหลักคำสอนสำคัญของในหลวง รัชกาลที่ 9
ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น คนในเมือง คนในชนบท, คนในภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ, นายจ้าง นายทุน นายธนาคาร หรือพนักงานลูกจ้าง ตลอดจนถึงข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับตนเองได้ทั้งสิ้น
แต่ที่มีคนสงสัยกัน คือ เศรษฐกิจพอเพียง กับแนวทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักนั้น ขัดแย้งกันหรือไม่?
อธิบายได้ในทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ อย่างไร?
1. อาจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล ซูซูกิ คณะเศรษฐาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเขียนบทความอธิบายว่า เศรษฐศาสตร์กระแสหลักต่างกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไร?
ใจความสำคัญ บางส่วน สรุปความได้ว่า
- เศรษฐกิจพอเพียงบอกสิ่งที่ควรเป็น แต่เศรษฐศาสตร์พยายามอธิบาย สิ่งที่เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้น ว่า “ถ้าคนมีเป้าหมายแสวงหาอรรถประโยชน์ (ความพอใจ) สูงสุด แล้วเขาจะมีพฤติกรรมอย่างไร” หรือ “ถ้าหน่วยธุรกิจมีเป้าหมายแสวงหากำไรสูงสุด (หรือต้นทุนต่ำสุด หรือ ลดความเสี่ยง) จะมีพฤติกรรมอย่างไร”
- ทางออกในการแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ สำหรับเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (นีโอคลาสสิค) จะเสนอว่า รัฐควรเข้ามาแก้ไขอย่างไรเพื่อปรับพฤติกรรม ซึ่งจะเป็นกลไกเชิงสถาบัน เช่น ระบบภาษี ระบบการอุดหนุน โดยไม่ได้เสนอให้ปรับเป้าหมาย (คือ การหาอรรถประโยชน์ หรือ การหากำไร) แต่เศรษฐกิจพอเพียง เน้นหาทางออกโดยปรับเป้าหมาย ปรับทัศนคติ เป็นการระเบิดจากข้างใน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง มากกว่าการออกแบบกลไกภายนอกมาคุมพฤติกรรมอย่างข้อเสนอทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
- เศรษฐศาสตร์มหภาคมองการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายสำคัญอันหนึ่ง โดยไม่เตือนสติเรื่องการเติบโตอย่างมีขั้นตอน และมองข้าม
ต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจ แม้เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมจะเตือนถึงปัญหาเหล่านี้ไว้ แสดงถึงปัญหาการวิเคราะห์แยกส่วน ต่างจากความพยายามมองเป็นองค์รวมของเศรษฐกิจพอเพียง
- อ.ปัทมาวดีมองว่า ปัญหาเมืองไทย คือ จิตใจคนอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมตนเองไม่ให้ไปตามกระแสสังคม ในขณะที่กลไกที่ควบคุมระบบสังคมก็อ่อนแอ นักเศรษฐศาสตร์บอกว่า แค่รัฐมีความจริงจังกับบทบาทหน้าที่ของตน ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น ระบบภาษี กม.ควบคุมการผูกขาด กม.คุ้มครองผู้บริโภค ภาษีสิ่งแวดล้อม ฯลฯ) ประเทศก็จะเดินอยู่ในร่องในรอยที่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่านี้
2. เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีข้อที่อยากจะชวนคิดกันต่อไปด้วย เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงกับเศรษฐศาสตร์ในโลกกระแสหลัก โดยเฉพาะในแง่ของรูปธรรมการปฏิบัติของแต่ละคน
2.1 ถ้าเรามุ่งจะเปลี่ยนแปลงการผลิตของเรา ไม่ว่าจะเราจะเป็นเกษตรกร หรือเจ้าของโรงงาน หรือประเทศ เพื่อทำตามคนอื่นๆ เขาโดยไม่
คำนึงถึงรากฐาน ความถนัด ความสามารถของตนเอง นั่นก็คือความไม่พอเพียง
2.2 เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ว่าไม่ขายของ ไม่ส่งออก ไม่ใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการออกแบบวิธีการทำงานและเป้าหมายการผลิตให้สอดคล้องกับอัตภาพของตนเอง
2.3 ปัจจุบัน โลกวุ่นวายมาก บางกลุ่มประเทศ มีประชากรส่วนน้อยในโลก แต่ใช้ทรัพยากรโลกมากกว่าคนส่วนใหญ่ของโลก แบบนี้ คือความไม่พอเพียง เพราะต้องเบียดเบียนโลก แถมทิ้งต้นทุนไว้กับส่วนรวม
2.4 การเลือกของกินของใช้ เช่น รถยนต์ ไม่ใช่ว่าคนเลือกรถยุโรปแพงๆ จะไม่พอเพียง แล้วคนเลือกรถราคาถูกๆ จะพอเพียงเสมอไป เพราะการเลือกรถยนต์มาใช้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ใช้สอย ผลตอบแทนกลับมา และสภาพของแต่ละคน อาทิ ใช้แล้วเกิดหนี้สินล้นพ้นตัว หรือใช้แล้วสามารถทำให้การทำงานสะดวกและสำเร็จ เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่กระทบฐานะความเป็นอยู่ เป็นต้น
2.5 การกู้เงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่พอเพียงเสมอไป หากไม่ใช่การกู้มาบริโภค ใช้จ่ายเกินตัว จนเกิดปัญหาในการดำรงชีวิต ขาดเงินมาลงทุน
ทั้งการหาความรู้ และการพัฒนาอาชีพต่อไปในระยะยาว เพราะมัวแต่เอาเงินในอนาคตไปบริโภคเสียหมด
แต่ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงการที่ต่อยอดความเข้มแข็งพื้นฐานของตนเอง สมเหตุสมผล ไม่สุ่มเสี่ยง ไม่กู้เงินเกินตัว คิดดอกเบี้ยแล้วคุ้มค่ากับเงินเฟ้อ ค่าเสียโอกาส และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับกลับมา ก็น่าจะสามารถกู้ได้ ไม่ขัดหลักพอเพียง
2.6 เรื่องอบายมุขทั้งหลาย น่าจะขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียงแน่นอน เพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยง ประมาท และทำให้เกิดความไม่แน่นอน
แถมผลได้จากอบายมุข แม้เราจะได้ แต่มาจากหายนะในชีวิตของคนอื่น เพื่อนร่วมสังคม ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผลเสียก็จะเกิดแก่ส่วนระบบ และวนกลับมาหาเราอีก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
2.7 การเล่นหุ้น ไม่น่าจะขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน สมเหตุสมผล เสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของในกิจการที่เราพิจารณาว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า ผ่านการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนแล้ว ซึ่งไม่ใช่การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเล่นแบบปั่นหุ้น
2.8 การขยายกิจการก็ไม่ขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเสมอไป หากขยายกิจการบนพื้นฐานความสมเหตุสมผล พอควรแก่เหตุปัจจัย เกิดประโยชน์ เช่น เคยทำร้านก๋วยเตี๋ยว แต่ขยายกิจการเป็นแฟรนไชส์ ก็ทำได้ หากการขยายนั้นอยู่บนพื้นฐานที่ดี ไม่เบียดเบียนใคร ไม่กดขี่คนทำงานด้วยกัน ไม่ก่อหนี้เกินตัว ไม่ทำให้คุณภาพกิจการลดลง ฯลฯ
ข้างต้น เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวที่ชวนมาฉุกคิด เพื่อจะได้โน้มนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงให้กว้างขวางมากยิ่งๆ ขึ้นไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี