บนเส้นทางการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เบตง-แม่สาย ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-25 ธ.ค. 2560 ระยะทาง 2,191 กม. เต็มไปด้วยเรื่องราวอันเปี่ยมด้วยพลังด้านบวกของสังคม
ไม่ใช่แค่การวิ่งรับเงินบริจาค แต่เป็นหัวจักรพลังขับเคลื่อนความหวัง ความศรัทธา และการไม่เพิกเฉยต่อปัญหาส่วนรวม ภายใต้วิธีคิดที่ว่า ทำในสิ่งที่เราทำได้ คนละนิด คนละน้อย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ตูน บอดี้สแลม หรือนายอาทิวราห์ คงมาลัย มักพูดเสมอว่า เงินคนละนิดคนละน้อย ดีกว่าคนจำนวนมากๆ จากคนนิดเดียว และถ้าไม่มีเงินบริจาคก็ไม่เป็นไร ขอให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพแข็งแรง ลดภาระของโรงพยาบาล คุณหมอคุณพยาบาลจะได้ไปรักษาคนที่จำเป็นจริงๆ
ตูนยังย้ำด้วยว่า “...ไม่อยากให้ทุกคนลืมเป้าหมายของการวิ่งครั้งนี้ว่า เราจะช่วยกันเรื่องอะไร เราจะรวบรวมเงิน ไปช่วยใคร ที่ไหน ไม่อยากให้ทุกคนลืม มีคนที่สมควรถูกเรียกว่า “ฮีโร่” “วีรบุรษ” กว่าผมเยอะ ผมไม่กล้ารับตรงนั้น มีคุณหมอ คุณพยาบาลที่โรงพยาบาลรัฐ ผมออกวิ่งมาแค่ 8 วัน แต่คุณหมอ คุณพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐ “วิ่งมาแล้วทั้งชีวิต และจะวิ่งต่อไป” ฮีโร่ตัวจริงอยู่ที่โรงพยาบาลทำงานอยู่ตรงนู้น ไม่ได้อยู่บนเวทีนี้แต่อย่างใด อยากให้ทุกคนให้กำลังใจพวกเขา ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเราอาจต้องให้เขาช่วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่อยากให้เขาช่วย เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ด้วยการออกกำลังกาย...” (พูดที่โรงเรียนบ้านบ่อแดง 8 พ.ย. 2560)
1. แต่เมื่อมีคนลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ อีกด้านหนึ่งก็มีหมาออกเห่าข้างทาง ทำทีตั้งข้อวิจารณ์สารพัด อวดภูมิ (ที่ไร้ปัญญา ไร้ค่า แถมยังเป็นภาระแก่สังคม)
ก่อนหน้านี้ คุณทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการแห่งนิตยสารสีสัน เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Tiva Sarachudha โดยแต่งเป็นบทกลอนให้กำลังใจตูน บอดี้สแลม ตอกหน้าเสียงค่อนขอดของพวกที่ “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” ประเภทที่คอยแสดงความเห็น “แซะ” ก้าวคนละก้าว
“วิ่งไปเถิด วิ่งไป
วิ่งด้วยหัวใจใสกระจ่าง
เมื่อต้นดีมีเป้าหมายที่ปลายทาง
หมาจะเห่าเอาบ้างก็ช่างมัน” - ทิวา สาระจูฑะ
2. ล่าสุด นายอธึกกิต แสวงสุข อดีตบรรณาธิการรายการการเมือง สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี และผู้เขียนคอลัมน์ “ใบตองแห้ง” หนังสือพิมพ์ข่าวสด ในเครือมติชนได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค “Atukkit Sawangsuk” (ใบตองแห้ง ประชาไท) อีกครั้ง (หลังก่อนหน้านี้ เคยแซะมาแล้ว) คราวนี้บอกว่า
“งานบุญเดือนสิบ+อภิมหาอีเวนท์โชว์กลางเมือง+ฝนดาวตก (เหตุการณ์ที่มีครั้งเดียวในรอบร้อยปีพันปี พลาดไม่ได้) ไม่ได้บอกว่าในปรากฏการณ์นี้ไม่มี “ความดี” ความใจบุญกุศลอยู่ด้วย มีสิ แต่มันดูเหมือนด้านที่เป็น “วัฒนธรรมป๊อป” ท่วมท้นกว่า
นั่นละครับ ที่เราต้องวิเคราะห์วิจารณ์ “ตูนฟีเวอร์” ไม่ใช่กรูจะไปขัดขาคนทำความดีไรเลย แต่ปรากฏการณ์ “ฟีเวอร์” ที่เกิดรอบตัวตูนมันมีอะไรน่าคิดเยอะมาก ไม่ใช่จะแค่มาแซ่ซ้องสดุดีกันอย่างเดียว มันมีคำถามว่า นอกจากได้เงินทำกุศลแล้ว มันเป็น movement ที่ยกระดับสังคมไทยจริงๆ หรือเปล่า (ตัวอย่างเช่น ทำให้เป็นสังคมที่มีน้ำใจต่อกันมากขึ้น ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหา ฯลฯ) หรือเป็นสังคมจมเปลือกอยู่เช่นเดิม”
3. ขอให้กลับไปอ่านกลอนของน้าทิวา ในข้อ 1
4. คุณภาพความคิด จุดยืน การแสดงออก ของบุคคลระดับ “บรรณาธิการรายการการเมืองของสถานีทีวี” และ “คอลัมนิสต์การเมืองของหนังสือพิมพ์” ลองเปรียบเทียบกับนักเขียนแฟนเพจที่ไม่ได้เน้นเรื่องการเมือง อย่าง “เพจลงทุนแมน” จะพบว่า ต่างกันราวฟ้ากับเหว หรือจะเรียกว่า ฝ่ามือ กับส้นเท้า
เพจลงทุนแมน เขียนเรื่อง “บุคคลผู้เป็นที่รัก” ใจความบางส่วนบางตอนว่า
“จนถึงตอนนี้ คงไม่มีใครพีคเท่าพี่ตูน บอดี้สแลม
ก่อนหน้านี้มีคำถามมากมายว่า ทำไปได้อะไร ทุกคนเข้าใจดีว่าการวิ่งเพื่อรับบริจาคเงิน ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เรื่องการใส่ใจสุขภาพ? ก็คงจะเหมือนเดิม เรื่องงบโรงพยาบาล? ก็คงจะเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ทุกคนคงไม่ได้สนใจที่ตรงนั้น ทุกคนสนใจที่พี่ตูน..
พี่ตูนเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง
พี่ตูนเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ในการเดินตามความฝัน
พี่ตูนเป็นกำลังใจให้กับคนที่อยู่ห่างไกล ที่ที่ไม่ค่อยมีใครไปเหลียวแลเขา
พี่ตูนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนยากดีมีจน คนทุกชนชั้น ทุกศาสนา
ตอนนี้เรื่องนี้ น่าจะเกินไปกว่าคำว่าผู้นำด้าน บริจาค แต่พี่ตูนตอนนี้เป็นผู้นำด้าน ทัศนคติ
...เรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดเป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะในใจลึกๆ ของคนไทยทุกคน ยังมีทัศนคติที่ดี อยากส่งเสริมคนที่ตนเองคิดว่าเขาเป็นคนดี
อาจจะเป็นเรื่องตลก ถ้าจะบอกว่า หากพี่ตูนลงสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ในอนาคต พี่ตูนก็น่าจะมีโอกาสได้ตำแหน่งนี้
ถึงตอนนี้ ไม่ต้องถามแล้วว่าทำไปได้อะไร
ถึงเวลาที่จะต้องถามกลับตัวเองว่า แล้วเราได้ทำอะไรไปบ้าง?..”
ข้อมูลเดิมที่เพจลงทุนแมนเคยเขียนไว้ บอกว่า การวิ่งเพื่อการกุศลของตูน เริ่มมาจาก... เมื่อ 3 ปีก่อน ตูนได้ย้ายมาอยู่บางสะพาน จังหวัดประจวบฯ โดยปีที่แล้ว นายแพทย์เชิดชาย ชยวัฑโฒ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางสะพาน ได้เชิญตูนมาร่วมงานวิ่งการกุศล เพื่อนำเงินบริจาคที่เหลือมาซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ขาดแคลน เมื่อไปที่โรงพยาบาล ทำให้รู้ว่า นอกจากผู้ป่วยยังต้องนอนตามเตียงทางเดิน เครื่องมือพื้นฐานในการรักษา ไม่มี หรือมีก็ไม่พอเพียง อาทิ ตู้อบทารกแรกเกิด มีแค่เครื่องเดียว เด็กเกิดใหม่ต้องแชร์เครื่องฉายไฟ จำนวนเครื่องฟอกไต ก็มีไม่พอ คนไข้โรคไต ต้องรอคิวใช้กัน การจัดงานวิ่งการกุศล มีค่าใช้จ่ายสูง อาจจะไม่มีเงินเหลือพอสำหรับการซื้อเครื่องมือแพทย์ ซึ่งแต่ละอย่าง ราคาเป็นหลักล้าน
“...ทำยังไง ให้ได้เงินบริจาคมากที่สุด โดยไม่ต้องหักค่าใช้จ่ายใดๆ?
คำตอบคือการ “วิ่งคนเดียว” ของตูน
ถ้าวิ่งคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินซื้อเสื้อวิ่ง ค่าอาหาร ค่าเต็นท์ ค่าเหรียญ
แล้วทำไมต้องวิ่ง? สาระการวิ่ง ก็เพื่อสื่อสารให้คนรับรู้ ว่า โรงพยาบาลมีปัญหา ไม่ใช่การวิ่งเพื่อใครชนะหรือถึงเส้นชัยก่อน วิ่ง 10 วัน เพื่อให้คนรับรู้ 10 วัน ให้แต่ละคนก้าว ออกมา คนละก้าว เพื่อบริจาค คนละ 5 บาท 10 บาท ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวย มีเงินบริจาคเยอะ ขอให้มีคนรับรู้มากๆ พอ และมีจิตใจที่ต้องการช่วยเหลือคนป่วย จึงได้เกิดโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน.. ได้เงินบริจาคถึง 85 ล้านบาท..
ถ้าถามว่า ตูน ได้แก้ปัญหาถาวรให้กับโรงพยาบาลได้หรือไม่ หรือ สร้างเหตุการณ์ขึ้นมาครั้งเดียว ให้แค่อยู่ในความทรงจำ และลืมเลือนไป
ในหนึ่งปัญหา ย่อมมีทางออกหลายทาง และโครงการก้าวคนละก้าว อาจนำไปสู่ ก้าวเล็กๆ ที่เดินไปหาทางออกที่ใหญ่ได้
ตามข้อมูลสมาพันธ์แพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ได้รายงานการขาดทุน 18 โรงพยาบาล ในปี 2560 ตั้งแต่ปี 2551 โรงพยาบาลเหล่านี้ ขาดทุนมาตลอด จากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. หรือ 30 บาท รักษาทุกโรคสำหรับประชาชน...
ในโลกนี้ น่าจะมีคนอยู่ 2 ประเภท คือ
1.คนที่มองภาพเล็ก ที่มุ่งหวังแต่เรื่องของตัวเอง สิ่งที่สนใจมากที่สุดของคนนั้นคือ ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในบัญชีธนาคาร ทุกอย่างที่จะทำต้องมีความคุ้มค่า ถ้าทำมากแล้วได้น้อย ถือว่าไม่คุ้ม ท้ายสุดแล้วเขาน่าจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเอง คนนี้เรียกว่า LONELY MAN
2.คนที่มองภาพใหญ่ ที่มุ่งหวังเรื่องของสังคมโดยรวม สิ่งที่สนใจมากที่สุดของเขาคือ สุดท้ายแล้วสังคมจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวกับตัวเลขของตนเอง แต่เกี่ยวกับความสุข ความเป็นอยู่ ของทุกคน สุดท้ายเขาอาจจะไม่ได้อะไรเลยเช่นเดียวกับคนแรก แต่คนที่ได้คือทุกคนในสังคมทั้งหมด และจะย้อนกลับไปเป็นความสุขใจของเขาเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครรู้.. แค่นี้ก็พอแล้ว..”
5. สุดท้าย ขอเล่านิทานเรื่องเก่า ที่มีคนเล่ากันมาหลายรอบนักหนา แต่เรื่องยังใช้ได้ดีเสมอ
นิทานเกี่ยวกับปลาดาวทะเล
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีนักเขียนคนหนึ่ง ไปเดินเล่นตามชายหาดตอนเช้า พบเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กำลังเดินขึ้นลงระหว่างชายฝั่งและชายหาด ก้มๆ เงยๆ หยิบอะไรบางอย่าง ขว้างลงทะเล ครั้งแล้วครั้งเล่า
นักเขียน : “ขอถามหน่อย เธอทำอะไรอยู่”
เด็กหนุ่ม : “ผมกำลังขว้างปลาดาวกลับลงทะเลครับ”
นักเขียน : “ทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะ”
เด็กหนุ่ม : “พระอาทิตย์กำลังขึ้น น้ำทะเลกำลังลง ถ้าผมไม่โยนกลับลงน้ำ มันต้องตายแน่ๆ”
นักเขียนมองตามชายหาด ปลาดาวเต็มไปหมด ได้ทีอวดวิสัยทัศน์ ว่าด้วยปัญหาภาพรวมทันที
“เธอไม่เห็นเหรอ ชายหาดยาวขนาดไหน ปลาดาวเต็มไปหมด มันไม่ช่วยให้อะไรแตกต่างหรอก”
เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้ เพียงแต่ก้มลง หยิบปลาดาวขึ้นมาอีกตัว แล้วขว้างลงทะเล พอมันลงน้ำไปแล้ว เขาค่อยหันไปพูดกับนักเขียนผู้ทรงภูมิว่า “มันแตกต่าง ก็ตรงที่ปลาดาวตัวนั้นไงครับ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี