เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยให้สามารถดำรงชีพได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน
มาตรการประกอบด้วย 4 ด้านหลัก คือ (1) มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน (2) มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2562 และเกษตรกรรายย่อย (3) มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และ (4) แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ชิมช้อปใช้” เป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet)ผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการ (1) ต้องมีสัญชาติไทยอายุ18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวันลงทะเบียน (2) มีบัตรประจำตัวประชาชน (3) มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เนต และ (4) มีอีเมล โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2562-15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เปิดรับลงทะเบียน วันละ 1 ล้านคน ต่อเนื่องทุกวัน จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน
สำหรับการเลือกจังหวัดที่ท่องเที่ยว “ชิมช้อปใช้” ต้องเลือกเพียงหนึ่งจังหวัด เงื่อนไขสำคัญ คือ จังหวัดนั้นต้องไม่ตรงกับจังหวัดตามทะเบียนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายให้คนที่ลงทะเบียนไปเที่ยวในจังหวัดที่ตนไม่ได้มีภูมิลำเนา เป็นการพาตนเอง ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย อันเป็นการกระจายรายได้สู่จังหวัดอื่น กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
นับจากที่เปิดให้ลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคนต่อวันพบว่าประชาชนลงทะเบียนครบทุกวัน แต่ไม่ใช่ทุกวันจะผ่านเกณฑ์ทั้ง 1 ล้านคน ผู้ผ่านเกณฑ์ จะได้รับเอสเอ็มเอส(SMS) ตอบกลับมาหลังจากลงทะเบียนภายใน 2 วัน จากนั้นต้องโหลดแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ผ่านการลงทะเบียนจะได้รับมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ (1) รัฐบาลสนับสนุนวงเงินจำนวน 1,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นสิทธิในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วม โดยไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และ (2) หากผู้ลงทะเบียนเติมเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก หรือค่าสินค้าท้องถิ่น จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วม รัฐบาลจะสนับสนุนวงเงินชดเชยเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดชำระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน วงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
การซื้อสินค้าและบริการจะต้องเป็นการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เท่านั้น โดยต้องซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่รับชำระเงินที่เข้าร่วม “ชิมช้อปใช้” ด้วยแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ตามจังหวัดที่ได้ลงทะเบียนไว้ และสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุภายใน 14 วัน หลังวันที่ได้รับเอสเอ็มเอส (SMS) ยืนยัน แต่ไม่ต้องใช้เงินใน “เป๋าตัง” ให้หมดภายใน 14 วัน เมื่อมีการเปิดใช้ภายใน 14 วันแล้ว เงินใน “เป๋าตัง” ใช้ได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินว่ามาตรการชิมช้อปใช้ จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ0.2-0.3 จากสมมุติฐานว่า คนจะใช้จ่ายในส่วนเงิน 1,000 บาท ครบ 10 ล้านราย เป็นเงิน 10,000 ล้านบาทและจะมีคนใช้จ่ายในส่วนที่จะได้รับเงินชดเชยร้อยละ 15อีกราว 50,000 ล้านบาท หรือมีเม็ดเงินลงระบบเศรษฐกิจได้ราว 60,000 ล้านบาท
การประเมินของสศค. อาจเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2562 เว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.comได้ประกาศหน้าเว็บไซต์ว่า “ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนมาตรการสิทธิ “ชิมช้อปใช้” ครบตามที่กำหนดแล้ว ขอบคุณอย่างยิ่งที่ท่านสนใจในการเข้าร่วมมาตรการ”
แม้จะมีการประกาศดังกล่าว ประชาชนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ ยังคงลงทะเบียนได้ จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เพราะแม้ลงทะเบียนเรียบร้อย แต่ไม่มีการใช้เป๋าตัง ภายใน 14 วัน จะถูกตัดสิทธิทันที โดยไม่สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ ทำให้เหลือจำนวนคนที่จะลงทะเบียนได้
มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ทั้งผู้ใช้และร้านค้าที่เข้าร่วมจะต้องทำรายการผ่านแอพ โดยจะไม่ได้จับเงินสด เป็นการนำร่องสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) กระตุ้นให้คนไทยรู้จักและหัดใช้จ่ายแบบไร้เงินสดด้วยความสมัครใจ ไร้การบังคับ เพราะโลกทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนเรียกว่ายุคดิจิทัล หลายประเทศจึงนำพาตนเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เช่นเดียวกับไทยแลนด์ 4.0
คนจำนวนไม่น้อยอาจรู้สึกว่าการลงทะเบียน“ชิมช้อปใช้” ยุ่งยาก หลายคนต้องอดตาหลับ ขับตานอนเพราะไม่สามารถยืนยันตัวตนกับแอพพลิเคชั่นได้ แม้สามารถไปยืนยันตัวตนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย คงต้องฝากไปยังภาครัฐบาลให้ช่วยแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพื่อที่มาตรการจะได้สมประโยชน์ต่อผู้มีสิทธิอย่างสูงสุด เพราะแท้จริงแล้วเงินจำนวนนี้ คือ ภาษีของประชาชนนั่นเอง
นอกจากนี้ ในเรื่องการใช้สิทธิกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม ผู้ประกอบการที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ควรกำชับให้ผู้ประกอบการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า มีสาขาไหนที่เข้าร่วม และมีช่องชำระเงินใดที่สามารถชำระเงินได้ เพราะภาพที่ปรากฏในสื่อ ผู้ใช้สิทธิต้องเข้าแถวยาวเหยียด รอชำระเงินหลายชั่วโมง ซึ่งอาจจะเกิดจากระบบของห้างนั้นไม่รองรับกับ ระบบของชิมช้อปใช้
จนหลายคนทนรอไม่ไหว ทิ้งรถเข็น บาปเคราะห์จึงตกอยู่แก่พนักงานที่ต้องนำสินค้าเหล่านั้น กลับไปวางคืนที่ชั้นวางของ นับว่าสร้างความวุ่นวายพอสมควร เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความขาดระเบียบวินัยของคนไทย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในบางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น บุคคลที่เป็นลูกค้าจะนำสินค้าเหล่านั้นกลับไปวางที่ชั้นวางของตามเดิมด้วยตนเอง
คงต้องติดตามดูต่อไปว่า ตอนสิ้นสุดมาตรการจะมีเงินสะพัดเท่าไหร่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี