วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยให้สามารถดำรงชีพได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน
มาตรการประกอบด้วย 4 ด้านหลัก คือ (1) มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน (2) มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2562 และเกษตรกรรายย่อย (3) มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และ (4) แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ชิมช้อปใช้” เป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet)ผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการ (1) ต้องมีสัญชาติไทยอายุ18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวันลงทะเบียน (2) มีบัตรประจำตัวประชาชน (3) มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เนต และ (4) มีอีเมล โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2562-15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เปิดรับลงทะเบียน วันละ 1 ล้านคน ต่อเนื่องทุกวัน จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน
สำหรับการเลือกจังหวัดที่ท่องเที่ยว “ชิมช้อปใช้” ต้องเลือกเพียงหนึ่งจังหวัด เงื่อนไขสำคัญ คือ จังหวัดนั้นต้องไม่ตรงกับจังหวัดตามทะเบียนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายให้คนที่ลงทะเบียนไปเที่ยวในจังหวัดที่ตนไม่ได้มีภูมิลำเนา เป็นการพาตนเอง ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย อันเป็นการกระจายรายได้สู่จังหวัดอื่น กระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
นับจากที่เปิดให้ลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคนต่อวันพบว่าประชาชนลงทะเบียนครบทุกวัน แต่ไม่ใช่ทุกวันจะผ่านเกณฑ์ทั้ง 1 ล้านคน ผู้ผ่านเกณฑ์ จะได้รับเอสเอ็มเอส(SMS) ตอบกลับมาหลังจากลงทะเบียนภายใน 2 วัน จากนั้นต้องโหลดแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ผ่านการลงทะเบียนจะได้รับมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ (1) รัฐบาลสนับสนุนวงเงินจำนวน 1,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นสิทธิในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วม โดยไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และ (2) หากผู้ลงทะเบียนเติมเงินเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก หรือค่าสินค้าท้องถิ่น จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วม รัฐบาลจะสนับสนุนวงเงินชดเชยเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดชำระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน วงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
การซื้อสินค้าและบริการจะต้องเป็นการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เท่านั้น โดยต้องซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่รับชำระเงินที่เข้าร่วม “ชิมช้อปใช้” ด้วยแอพพลิเคชั่น “ถุงเงิน” ตามจังหวัดที่ได้ลงทะเบียนไว้ และสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุภายใน 14 วัน หลังวันที่ได้รับเอสเอ็มเอส (SMS) ยืนยัน แต่ไม่ต้องใช้เงินใน “เป๋าตัง” ให้หมดภายใน 14 วัน เมื่อมีการเปิดใช้ภายใน 14 วันแล้ว เงินใน “เป๋าตัง” ใช้ได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินว่ามาตรการชิมช้อปใช้ จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ0.2-0.3 จากสมมุติฐานว่า คนจะใช้จ่ายในส่วนเงิน 1,000 บาท ครบ 10 ล้านราย เป็นเงิน 10,000 ล้านบาทและจะมีคนใช้จ่ายในส่วนที่จะได้รับเงินชดเชยร้อยละ 15อีกราว 50,000 ล้านบาท หรือมีเม็ดเงินลงระบบเศรษฐกิจได้ราว 60,000 ล้านบาท
การประเมินของสศค. อาจเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2562 เว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.comได้ประกาศหน้าเว็บไซต์ว่า “ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนมาตรการสิทธิ “ชิมช้อปใช้” ครบตามที่กำหนดแล้ว ขอบคุณอย่างยิ่งที่ท่านสนใจในการเข้าร่วมมาตรการ”
แม้จะมีการประกาศดังกล่าว ประชาชนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ ยังคงลงทะเบียนได้ จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เพราะแม้ลงทะเบียนเรียบร้อย แต่ไม่มีการใช้เป๋าตัง ภายใน 14 วัน จะถูกตัดสิทธิทันที โดยไม่สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ ทำให้เหลือจำนวนคนที่จะลงทะเบียนได้
มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ทั้งผู้ใช้และร้านค้าที่เข้าร่วมจะต้องทำรายการผ่านแอพ โดยจะไม่ได้จับเงินสด เป็นการนำร่องสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) กระตุ้นให้คนไทยรู้จักและหัดใช้จ่ายแบบไร้เงินสดด้วยความสมัครใจ ไร้การบังคับ เพราะโลกทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนเรียกว่ายุคดิจิทัล หลายประเทศจึงนำพาตนเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เช่นเดียวกับไทยแลนด์ 4.0
คนจำนวนไม่น้อยอาจรู้สึกว่าการลงทะเบียน“ชิมช้อปใช้” ยุ่งยาก หลายคนต้องอดตาหลับ ขับตานอนเพราะไม่สามารถยืนยันตัวตนกับแอพพลิเคชั่นได้ แม้สามารถไปยืนยันตัวตนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย คงต้องฝากไปยังภาครัฐบาลให้ช่วยแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพื่อที่มาตรการจะได้สมประโยชน์ต่อผู้มีสิทธิอย่างสูงสุด เพราะแท้จริงแล้วเงินจำนวนนี้ คือ ภาษีของประชาชนนั่นเอง
นอกจากนี้ ในเรื่องการใช้สิทธิกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วม ผู้ประกอบการที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ควรกำชับให้ผู้ประกอบการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า มีสาขาไหนที่เข้าร่วม และมีช่องชำระเงินใดที่สามารถชำระเงินได้ เพราะภาพที่ปรากฏในสื่อ ผู้ใช้สิทธิต้องเข้าแถวยาวเหยียด รอชำระเงินหลายชั่วโมง ซึ่งอาจจะเกิดจากระบบของห้างนั้นไม่รองรับกับ ระบบของชิมช้อปใช้
จนหลายคนทนรอไม่ไหว ทิ้งรถเข็น บาปเคราะห์จึงตกอยู่แก่พนักงานที่ต้องนำสินค้าเหล่านั้น กลับไปวางคืนที่ชั้นวางของ นับว่าสร้างความวุ่นวายพอสมควร เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความขาดระเบียบวินัยของคนไทย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในบางประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น บุคคลที่เป็นลูกค้าจะนำสินค้าเหล่านั้นกลับไปวางที่ชั้นวางของตามเดิมด้วยตนเอง
คงต้องติดตามดูต่อไปว่า ตอนสิ้นสุดมาตรการจะมีเงินสะพัดเท่าไหร่

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี