เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อท.(ผ) 46/59 ที่อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และบุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2
อัยการยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558 กรณีที่จำเลยทั้งสองรับเงินตอบแทน สามีภรรยาชาวสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ หรือ BangkokInternational Film Festival (BIBF) ปี พ.ศ. 2545-2550 มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560 พิจารณาเห็นว่า การจัดจ้างโครงการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ มีการกำหนดเงื่อนไขโดยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษ ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุพ.ศ.2538 โดยเฉพาะโครงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปีพ.ศ. 2546 บริษัทรับจ้างไม่ได้เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ได้คบคิดกับสองสามีภรรยา นักธุรกิจในสหรัฐฯ จัดตั้งบริษัทเข้ามาเป็นคู่สัญญากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยเรียกรับเงินสินบนจากนักธุรกิจสองสามีภรรยา และได้โอนเงินไปยังจำเลยที่ 2 ที่เป็นบุตรสาวร่วมสองล้านเหรียญสหรัฐ การกระทำของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (ฮั้วประมูล) มาตรา 12 และผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 12
ผลสรุปของคดีนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 40 ปี ศาลมีคำสั่งให้ริบเงินกระทำผิดทั้งหมด รวมถึงดอกผลที่เกิดขึ้นของเงินดังกล่าวโดยให้ตกเป็นของแผ่นดิน
อดีตผู้ว่าการ ททท. ได้มีแนวคิดจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแม้ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างเรียบร้อย ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพได้ถูกเผยแพร่สร้างชื่อเสียงให้โลกได้รู้จัก แต่วิธีการได้สิทธิ์เพื่อจัดงาน ขัดต่อข้อกฎหมายหลายข้อ มีการตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มผู้ดำเนินการทั้งหมดมิใช่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่เป็นสองสามีภรรยาที่เป็นนักธุรกิจสร้างภาพยนตร์ซึ่งมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลในสหรัฐฯ
ช่วงเวลานั้น รัฐบาลไทยต้องให้การสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ เพื่อการประชาสัมพันธ์ประเทศทำให้อดีตผู้ว่าการ ททท.มีความสนิทสนมกับนักธุรกิจสองสามีภรรยา จนมีการตกลงที่จะให้ผลตอบแทน เพื่อเป็นหลักประกันว่า พวกเขาจะได้สิทธิ์จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2545-2550 รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ต่างๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทย
การจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษตามกฎหมายไทยนั้น ผู้ว่าการททท. มีอำนาจอนุมัติการทำสัญญาโครงการในวงเงินไม่เกิน25 ล้านบาทต่อสัญญา หากเกินกว่านั้นต้องใช้วิธีประกวดราคา สองสามีภรรยา ได้ใช้วิธีตั้งบริษัทขึ้นหลายบริษัท และให้ททท. แตกสัญญาจ้างเป็นหลายฉบับ โดยมูลค่าของสัญญาแต่ละฉบับอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ผู้ว่าการ ททท. สามารถอนุมัติได้โดยไม่ต้องผ่านการประกวดราคา
เมื่อได้รับเงินค่าจ้างจัดงานเรียบร้อย สองสามีภรรยาจะตกแต่งบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัทที่รับงานให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อนำเงินส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจ่ายสินบนให้แก่อดีตผู้ว่าการ ททท. ด้วยการออกแคชเชียร์เช็ค หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของลูกสาว โดยระบุว่าเป็นค่านายหน้าการขายมีการประเมินรายได้ที่สองสามีภรรยาได้รับจากงานนี้มากถึง 13 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 414 ล้านบาท
เมื่อทางการสหรัฐฯได้ตรวจสอบบริษัทสองสามีภรรยาพบว่ามีการโอนเงินโดยไม่ชอบมาพากล มีการเข้าสอบสวนหาพยานหลักฐานและส่งมอบให้กับทางการไทย
สหรัฐฯ มีกฎหมายว่าด้วยการกระทำทุจริตในต่างประเทศของพลเมืองอเมริกัน (Foreign Corrupt Practices Act (FCPA) สองสามีภรรยาจึงถูกศาลนครลอสแองเจลิสสั่งปรับ 250,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 8ล้านบาท จำคุก 6 เดือน และกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพักอีก 6 เดือน
แม้ว่าบรรดาบริษัทข้ามชาติจะมีประมวลจริยธรรม (CODE OF CONDUCT) ของตน ที่กำหนดว่า จะไม่ให้สินบนเพื่อให้ขายสินค้า หรือบริการ หรือได้งานในประเทศที่ตนไปประกอบธุรกิจ และหลายประเทศที่บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ตั้งอยู่ ต่างมีกฎหมายเอาผิดกับการให้สินบน แต่บริษัทข้ามชาติบางบริษัทยังคงมีการติดต่อให้หน่วยงานของรัฐในประเทศต่างๆ ใช้สินค้าบริการ หรือให้บริษัทตนได้รับประโยชน์ โดยจะมีการให้สินบนเป็นจำนวนมาก ให้กับเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรผู้มีอำนาจตัดสินใจ
บริษัท โรลส์-รอยซ์ ถูกหน่วยงานของประเทศอังกฤษ คือ สำนักงานสืบสวนการฉ้อฉลรุนแรงของสหราชอาณาจักร หรือ Serious Fraud Office(SFO) ปรับ เนื่องจากบริษัท โรลส์-รอยซ์ ได้ติดสินบนประมาณ 18 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับนายหน้า และเจ้าหน้าที่ของไทย เพื่อขายเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ให้กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ช่วงปีพ.ศ.2547-2558ผลพวงของการจ่ายสินบนดังกล่าว ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการดำเนินงานของบริษัท การบินไทย และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุนโดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2560-2562 เรื่องนี้ได้มีการสอบสวนเมื่อตกเป็นข่าว แต่จนถึงปัจจุบัน ยังหาผู้กระทำผิดไม่ได้
สหราชอาณาจักรมีกฎหมายต่อต้านการให้สินบนข้ามชาติ (Bribery Act) ห้ามการให้สินบนในต่างประเทศที่เอาผิดกับธุรกิจในประเทศของตน ที่จ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลต่างชาติ แคนาดามีกฎหมายต่อต้านการคอร์รัปชันของเจ้าพนักงานในต่างประเทศ (Corruption of Foreign Public Officials Act) บราซิลมีกฎหมายเพื่อการประกอบธุรกิจอย่างขาวสะอาด (CleanCompany Act) ญี่ปุ่นมีกฎหมายห้ามการจ่ายสินบนข้ามชาติเช่นกัน เรียกว่า กฎหมายป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม(Unfair Competition Law)
สำหรับประเทศไทยไม่มีกฎหมายห้ามการให้สินบนในต่างประเทศ มีเพียงกฎหมายกำหนดความผิดเรื่องสินบนเกี่ยวกับทางราชการภายในประเทศ ที่เอาผิดผู้ให้และผู้รับ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยควรมีกฎหมายสินบนข้ามชาติ เพื่อป้องกันมิให้บริษัทหรือผู้ประกอบการชาวไทยให้สินบนกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในต่างประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี