เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 รัฐบาลได้ตั้งเป้า ที่จะดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาในไทย เพื่อเพิ่มเม็ดเงินใช้จ่ายในประเทศมูลค่า 1 ล้านล้านบาท เพิ่มการลงทุน 8 แสนล้านบาท ที่จะทำให้รายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท
เมื่อกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบที่จะเสนอมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ประกอบด้วย 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
(1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง การขอวีซ่าต้องลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาลไทย ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือในอสังหาริมทรัพย์มีรายได้ส่วนบุคคลขั้นต่ำปีละ 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง2 ปีที่ผ่านมา และมีทรัพย์สินขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีรายได้สำหรับการเกษียณอายุที่มั่นคงเป็นประจำจากต่างประเทศ ลงทุนขั้นต่ำ 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐในพันธบัตรรัฐบาลไทย ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือในอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ขั้นต่ำปีละ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐหรือมีรายได้ขั้นต่ำปีละ 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษา 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ ตลอดเวลาถือวีซ่า
(3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ทำงานให้กับนายจ้างในต่างประเทศ 2 กลุ่ม คือผู้ประกอบอาชีพด้านดิจิทัล และพนักงานองค์กรขนาดใหญ่และใกล้จะเกษียณอายุ มีรายได้ส่วนบุคคลปีละ 8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 ปี หรือปีละ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หากสำเร็จการศึกษาปริญญาโทขึ้นไปมีประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษา 1 แสนดอลลาร์สหรัฐตลอดเวลาถือวีซ่า
(4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษมีประสบการณ์ทำงานทักษะสูง เข้ามาทำงานในประเทศไทยให้บริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เข้ามาทำงานหน่วยงานของรัฐ หรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนบุคคล เช่นเงินเดือน รายได้จากการลงทุน ปีละ 8 แสนดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือปีละ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หากสำเร็จการศึกษาปริญญาโทขึ้นไป มีประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษา 1 แสนดอลลาร์สหรัฐตลอดเวลาถือวีซ่า
โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จัดตั้งหน่วยบริการพิเศษขึ้นเพื่อสนับสนุนและเชิญชวนให้ชาวต่างชาติ ที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นผู้พำนักระยะยาวในประเทศไทย
2.ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้(1) ยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart Visa ทั้งหมด ไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศ 90 วัน (2) ให้ศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน
3.ให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้การทำงานของคนต่างด้าว โดยให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวสามารถทำงานให้นายจ้าง ทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักรได้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับการขอวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว
4.ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่อนปรนหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตทำงาน ที่กำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คน ต้องจ้างคนไทยทำงานประจำ 4 คน
5.ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีต่างๆและระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร
ประเด็นที่มีการวิจารณ์มากที่สุด คือ การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน ในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 รัฐบาลมีนโยบายที่จะปลดล็อกสำหรับชาวต่างชาติ เช่น ปรับสัดส่วนต่างชาติในการถือครองห้องชุดเพิ่มจากร้อยละ 49 เป็นร้อยละ 70-80 แต่สิทธิการออกคะแนนเสียงหรือโหวตในห้องชุดยังคงอยู่ที่ร้อยละ 49
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ได้กำหนดสิทธิในที่ดินของคนต่างด้าวไว้เป็นบางกรณีเท่านั้น เช่น การรับมรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมแต่ต้องขายภายในกำหนดเวลา หรือมีการนำเงินมาลงทุนตามจำนวนที่กำหนดซึ่งต้องไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท โดยให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ และต้องขายเมื่อถอนการลงทุน
การถือครองที่ดิน รัฐบาลอาจหาแนวทางโดยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อบ้านจัดสรรที่มีราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ตามกฎหมายสามารถจดทะเบียนการเช่าสูงสุด 30 ปี อาจมีการเสนอให้เช่าได้ 50 ปี และขยายเพิ่มได้อีก 40 ปี
ปัจจุบันยังมีชาวต่างชาติที่ใช้ตัวแทน (Nominee) ที่เป็นคนไทยในการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแทน หรืออาจถือหุ้นในนิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อเสนอการแก้ไขกฎหมายการถือครองที่ดินของคนต่างชาติ มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางฝ่ายมีความเห็นว่า การเปิดให้ชาวต่างชาติซื้อห้องชุดได้เพิ่มขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรง คือ นักธุรกิจเจ้าของโครงการห้องชุดต่างๆ ที่จะขายห้องชุดได้มากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อห้องชุดได้ แต่ไม่อนุญาตให้ซื้อที่ดิน มาเลเซียมีการกำหนดว่า ราคาบ้านที่ชาวต่างชาติจะซื้อได้ ต้องมีราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป อินโดนีเซียไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดิน กรณีซื้อบ้านจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตอาศัยอยู่หรือมีถิ่นพำนักอยู่ในอินโดนีเซีย ออสเตรเลียอนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ต้องเป็นบ้านในโครงการจัดสรรใหม่ๆ เท่านั้น อังกฤษและสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ไม่จำกัด
ประเทศที่อนุญาตให้ต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้อาจพิจารณาว่า ที่ดิน ห้องชุดเป็นทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ คนต่างชาติที่เป็นเจ้าของไม่สามารถขนย้ายกลับประเทศของตนได้อยู่ดี
เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาสำหรับประเทศไทย หากมีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อห้องชุด บ้านจัดสรรถือครองที่ดิน ได้ง่ายขึ้น บรรดาเศรษฐีจากสหรัฐอเมริกายุโรป ตะวันออกกลาง จีน อาจมากว้านซื้อ เพื่อเก็งกำไรทำธุรกิจโรงแรม ให้เช่า ในที่สุดคนไทยจะกลายเป็นผู้เช่าหรือลูกค้า ไม่ใช่เจ้าของ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี