บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบริษัท บ้านปู เพาเวอร์หรือ BPP เราจัด BPP เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าประเภท conventional ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก(74% สูงที่สุดในกลุ่ม) รองลงมาคือก๊าซ (14%) และพลังงานหมุนเวียน (RE) (12%) บริษัทมีกิจการที่มั่นคงใน 7 ประเทศ โดยเฉพาะในจีน ลาว และไทย โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่มีกลไกการส่งผ่านต้นทุนเชื้อเพลิงผ่าน PPAs ภายใต้โครงสร้างของ IPP และตลาดซื้อขายไฟฟ้า บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 3,264MWe ใน 1Q65 และมีกำลังการผลิตใหม่เล็กน้อยที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 2566-2567F
โรงไฟฟ้า และราคาถ่านหินเป็นหลัก
เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2565F จะเพิ่มถึง 52% YoY เพราะจะมีกำไรจากการขายการลงทุน ขณะที่กำไรจากธุรกิจหลักจะดีดตัวขึ้น 11% YoY จากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการ Temple I & Nakoso และรับรู้ผลขาดทุนจาก Banpu NEXT ลดลง เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2566-67F จะเพิ่มขึ้น 18% YoY / 9% YoY เนื่องจากผลการดำเนินงาน และ margin ที่แข็งแกร่งของ CHPs และ SLG โดยคาดว่า ROE จะเพิ่มเป็น 9.1% ก่อนที่จะกลับลงมาเหลือ 5.8-6.2% ซึ่งต่ำกว่าในอดีต ตัวแปรสำคัญคือการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในการรับมือกับราคาถ่านหิน และการซ่อมบำรุง
กลยุทธ์หลักคือ Greener and smarter
BPP ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5.3GWh ภายในปี 2568 (จาก 3.3GWh)บริษัทจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกอย่างน้อย 500MWe ต่อปีเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย การเข้าซื้อกิจการอื่นจะเน้นไปที่โครงการที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ผลิต carbon ต่ำ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในตลาดที่บริษัทมีกิจการที่มั่นคงอยู่แล้ว เราเชื่อว่า Banpu NEXT (JV ที่ BPP และ BANPU (BANPU) ถือหุ้นคนละครึ่ง) จะเป็นกลไกสำคัญของกลุ่ม Banpu ในการดำเนินกลยุทธ์ Greener and Smarter โดยคาดว่ากำไรจาก JV แห่งนี้จะคิดเป็นสัดส่วนถึง >50% ของ EBITDA ของ BANPU ในปี 2568 ทั้งนี้ สัดส่วน net IBD/E อยู่ที่ 0.22x ใน 1Q65 ซึ่งยังต่ำกว่า covenant และเป้าของบริษัทอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนหนี้ที่ยังต่ำทำให้คิดว่า BPP ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมมมากกว่าหุ้นอื่น
เรากลับมาศึกษาหุ้น BPP โดยแนะนำถือ ประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 15.80 บาท เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยลบต่าง ๆ ไปแล้ว เรามองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ under-ownหุ้น BPP เพราะกระแส ESG แต่มองว่ามีโอกาสให้เข้าเก็งกำไรในระยะสั้นได้ จากแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นจากหลายๆ โครงการขณะที่เรายังไม่เห็นปัจจัยกระตุ้นระยะกลางถึงยาวที่จะมีน้ำหนักมากพอให้เราปรับเพิ่มคำแนะนำ เว้นแต่จะมีโครงการใหม่ๆ
ปัจจัยเสี่ยงจากการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, ปัญหาcost overrun, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย
ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี