เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2566 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (บอร์ด กกพ.) สรุปค่าไฟฟ้างวดที่ 2 ปี 2566 ปรับขึ้น 0.98 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมค่าไฟฐาน (หรือ ค่าเอฟที Ft ในนิยามเหมารวมตามที่หลายๆ คนรู้จัก) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บอยู่ที่ 4.75 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราเดียวกันทั้งครัวเรือนและอุตสาหกรรม
จึงทำให้ผู้ที่ใช้ไฟบ้านสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันพื้นฐาน จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าในประกอบธุรกิจและมีรายได้ ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนนี้ที่มีอากาศร้อนขึ้นมาก ทำให้ประชาชนต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น จากการใช้พัดลมและเครื่องปรับอากาศ
ค่าไฟฐานหรือค่าเอฟที Ft [เดิมมาจากคำว่า Float Time ภายหลังเปลี่ยนเป็น Fuel Adjustment Charge (at the given time)] ค่าเอฟทีมีผลต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหน้าร้อนทุกครั้ง
ค่าไฟฟ้าที่เราจ่ายกันอยู่ (ไม่รวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีส่วนที่เป็นค่าไฟฟ้าที่คิดจากโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า จากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและการให้บริการไฟฟ้าที่กำหนดตามแต่ประเภทของผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนนี้เรียกว่า ค่าไฟฟ้าฐาน (ปรับเปลี่ยนทุก 3-5 ปี) รวมกับส่วนที่เป็นค่าเอฟทีเป็นหนึ่งในตัวแปร ซึ่งค่าเอฟทีหมายถึง ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับที่กำหนดไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน โดยค่าเอฟทีมีการปรับปรุงทุกๆ 4 เดือน
ทั้งนี้ ต้นทุนที่นำมาคิดค่าไฟฐานจัดกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม คือ ต้นทุนที่ใช้ก่อสร้างและขยายระบบผลิต ระบบส่ง และระบบจำหน่าย, ต้นทุนในการดำเนินงาน (เช่น ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบ ค่าบริหารจัดการ ผลตอบแทนการลงทุน และจิปาถะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง)
ทำให้หลายคนมีความรู้สึกว่ายามใดที่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศถดถอย รายได้ประชาชนตกต่ำ ราคาสินค้า (โดยเฉพาะเชื้อเพลิง) และค่าไฟฟ้าจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ราวกับเป็นซ้ำเติม ทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบกลางมาอุดหนุน ตรึงราคาค่าไฟฟ้าทุกคราวไป
ในภาพรวมประเทศไทยมี พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายหลัก มีบริบทกำหนดเกี่ยวกับการกำกับดูแลโครงสร้างการประกอบกิจการพลังงานของประเทศ โดยกำหนดให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (มาตรา 10) ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการจัดหาและใช้ประโยชน์ด้านพลังงานของประะเทศ (พลังงานเชื้อเพลิง, ก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า) ตามแนวกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (2560-2579) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558
ภายใต้กรอบนโยบายใหม่นี้ บริบทของนโยบายมีแนวโน้มผลักดันให้ กิจการพลังงานของประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน(Renewable Energy) และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ด้วยเป้าหมายในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามข้อตกลงและความร่วมมือในระดับนานาชาติ ส่งเสริมให้มีสัมปทานหรืออนุญาตมีการประกอบกิจการพลังงานไฟฟ้าโดยภาคเอกชนมากขึ้นตามกลไกของตลาดด้านพลังงาน และทำให้ภาคเอกชนผู้ประกอบกิจการไฟฟ้าหลายรายนำนวัตกรรมเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เป็นจำนวนหลากหลายมากขึ้น รวมถึงนโยบายส่งเสริมอุดหนุนให้เอกชนรายย่อยผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนเพื่อลดการพึ่งพาระบบไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายโดยรัฐ (กฟผ.)
ปัจจุบันการประกอบกิจการไฟฟ้า ยังคงเป็นกิจการผูกขาด ภาครัฐจึงยังต้องเป็นผู้กํากับดูแล กำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ทั้งค่าไฟฟ้าฐาน (กำหนดอัตราโดยคณะกรรมการค่าไฟฟ้าฐาน) และค่าเอฟที (กำหนดโดยอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ) หากการประกอบกิจการไฟฟ้าเปิดให้มีการแข่งขันเสรีจะทำให้ผู้ประกอบการมีการแข่งขันด้านราคา (ราคาถูกลง) และการบริการ (เพิ่มการบริการ) ประชาชนผู้บริโภคจะมีทางเลือกและได้ประโยชน์ อัตราค่าไฟฟ้าจะสะท้อนอุปสงค์และอุปทานอันเป็นกลไกของตลาดเสรี รัฐเพียงเข้ามามีบทบาทในการใช้อำนาจกำกับดูแลมิให้เกิดการรวมตัวกันผูกขาดด้านราคา และค่าบริการด้านสายส่งไฟฟ้าใช้งานเท่านั้น
อัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เมื่อเทียบกับต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียนั้น ได้แก่ ญี่ปุ่น มาเก๊า ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา พบว่าประเทศไทยมีอัตราค่าไฟฟ้าถูกเป็นอันดับที่สองรองจากประเทศอินโดนีเซีย (อัตราหน่วยละ 1.05 บาท เทียบกับประเทศไทยอยู่ที่ 2.23 บาท (ไม่รวมมูลค่างบอุดหนุนต่างๆ) และคาดว่าจะมีอัตราที่ต่ำกว่านี้หากเปิดให้มีการแข่งขันการประกอบกิจการอย่างเสรี
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราค่าไฟฟ้าจะมีแนวโน้มราคาถูกลงจากนโยบายของรัฐบาล ที่เปิดให้ภาคเอกชนรับอนุญาตประกอบกิจการพลังงานไฟฟ้าแข่งขันเสรีมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าในการรับซื้อไฟฟ้า (หรือการอนุญาตให้เอกชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง) ยังคงมีเงื่อนไขจำกัดเฉพาะเทคโนโลยี รวมถึงโครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว (Enhanced Single Buyer Model: ESB) คือ กฟผ. ที่เป็นข้อจำกัดในเชิงผูกขาด รวมถึงเงื่อนไขด้านการบริการสายส่งเชื่อมต่อผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานย่อยในเขตรับผิดชอบการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังคงไม่สามารถอำนวยประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานไฟฟ้าไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สะท้อนความถึงความแข่งขันอย่างเสรี
การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ที่แน่นอนคือ ประชาชนต้องรับภาระจ่ายค่าไฟแพงอยู่ในขณะนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี