“สภาพคล่องในระบบเพิ่ม”

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารโดยสภาพคล่องไหลเข้าธนาคารทุกแห่งเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 2568 โดยฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นประมาณ 0.8% MoM และ 0.5% YTD โดย KTB เพิ่มมากที่สุด  ฐานเงินฝากที่สูงขึ้นสวนทางกับสินเชื่อที่หดตัวในอัตราที่เร่งขึ้นในเดือนตุลาคมที่ -1% MoM และ -5% YTYD ทำให้ตัวชี้วัดสภาพคล่องในสัดส่วน LDR ของเกือบทุกธนาคารลดลง เมื่อดูเป็นรายธนาคารพบว่าฐานเงินฝากของ KTB เพิ่มขึ้นมาก 4.4% MoM และ 5.8% YTD ขณะที่ของ KBANK และ BBL เพิ่มขึ้นพอ ๆ กันที่ 0.8% และ +0.6% MoM ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ฐานเงินฝากของ SCB และ TTB ลดลง -1.5% และ -1% MoM ตามลำดับ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธนาคารที่อยากให้เงินฝากไหลออก และ บริหารจัดการสภาพคล่องให้สอดคล้องกับการหดตัวของสินเชื่อ

สินเชื่อหดตัวในอัตราที่เร่งขึ้น

ธนาคารทุกแห่งยังคงระมัดระวังกับการขยายสินเชื่อความเสี่ยงสูง โดยสินเชื่อรวมลดลง -1% MoM และ -5% YTD นำโดย KTB ที่ลดลง -2.6% MoM และ -9% YTD โดยสภาพคล่องที่มีจากเงินฝากไหลเข้า และการชำระคืนสินเชื่อ ธนาคารได้หันไปลงทุนเพิ่มในตราสารหนี้แทน

เพิ่มพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้

จากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นเพราะกระแสเงินฝากไหลเข้า และ มีการชำระคืนหนี้มากขึ้น ธนาคารส่วนใหญ่จึงหันมาเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง โดยสถานะการลงทุนเพิ่มขึ้น 3.8% MoM และ 22% YTD ซึ่งในแง่นี้ KTB เพิ่มการลงทุนอย่างคึกคักที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 9% MoM และ 25% YTD รองลงมาคือ TTB (+8% MoM, +51% YTD) และ TISCO (+7% MoM, +73% YTD) เราคิดว่าการที่ธนาคารลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มสะท้อนถึงการบริหารจัดการสภาพคล่อง และ ความคาดหมายว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธนาคารจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงในช่วงนี้

ถึงแม้ NIM ของ KTB จะถูกกดดันจากการที่สินทรัพย์ yield ต่ำเพิ่มขึ้น แต่น่าจะหักล้างไปกับ credit cost

ที่ลดลงจากการขยายสินเชื่อความเสี่ยงต่ำ เราจึงยังคงเลือก KTB เป็นหุ้นเด่นของเรา และ รองลงมาคือ KBANK จาก

ธีมการจ่ายเงินปันผล และ อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุน

ปัจจัยเสี่ยงจากNPLs เพิ่มขึ้น และ ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง, ผลขาดทุน FVTPL จากการลงทุน

ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)