“รัฐ” ถือกำเนิดขึ้นจาก “ความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์” ไม่ใช่มโนเอาเองว่าต้องมี
“ความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์” ก็คือต้องการมีชีวิตอยู่ปรกติสุข ไม่มีใครเบียดเบียนใคร (อาชญากรรม) แต่เมื่อมีการเบียดเบียนเกิดขึ้น จึงต้องหาผู้ที่เหมาะสมช่วย “จัดการ” ปัญหาดังกล่าว เพื่อ...
๑. ป้องกันการเบียดเบียนกันของมนุษย์ในสังคม
๒. สร้างโอกาสและอรรถประโยชน์สุขแก่สังคม
๓. พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ทั้งด้านสัมมาอาชีวะและจิตวิญญาณ (ยังมีอีก โปรดอ่านตอนที่1)
เจตจำนงของมหาชนนี้จึงเป็น “เจตจำนงของรัฐ” และเป็น “รัฐ”
หรือ “รัฐ” ก็คือเจตจำนงของมหาชน
แปลว่า ถ้าไม่มีเจตจำนงของมหาชนก็ไม่มีรัฐ
เจตจำนงนี้เป็นอุดมการณ์ของรัฐ หรือยุทธศาสตร์ของรัฐ หรือนโยบายของรัฐโดยตัวมันเองอยู่แล้ว “ผู้ปกครอง” (ที่ได้รับเลือกจากมติมหาชน) จึงมีหน้าที่สร้างสรรค์ “วิธีการและปฏิบัติ” ให้เกิดเป็นจริงในสังคม
ไม่จำเป็นต้องไปแบกเอาลัทธิอุดมการณ์ใดๆมา “สวมทับ” ให้ซ้ำซ้อน แปลกแยก และแตกแยก จนสังคมเดี้ยงหรือพังทลายอีก
ข้อสังเกต...ทุกประเทศที่พังทลายเพราะเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์แห่งรัฐด้วยลัทธิการปกครอง – เศรษฐกิจการเมืองในศตวรรษที่แล้วก็เพราะเหตุนี้
และเหตุที่ต้องมีลัทธิอุดมการณ์อื่นๆเข้าเปลี่ยนแปลง - สวมทับก็เพราะอุดมการณ์ของรัฐ (เจตจำนงของสังคม) ถูกฉ้อฉล ฉกฉวย หรือถูกปล้นชิงโดยผู้ปกครองและกลุ่มผลประโยชน์
เมื่อเจตจำนงของรัฐถูกปล้นชิงไป รัฐจึงมีสภาพอย่างที่เอปิคิวรุสนิยามไว้ “รัฐคือความชั่วร้ายที่จำเป็น”
จำเป็น - เพราะรัฐเป็น “เครื่องมือของสังคม” และแม้ว่ามันจะชั่วร้าย – ชั่วร้ายโดยผู้ปกครองที่ฉ้อฉลก็จำเป็นต้องมี
แต่รัฐ(เจตจำนงของมหาชน)ไม่ได้ชั่วร้าย ผู้ปกครองต่างหากที่ชั่วร้าย
“สังคมกับรัฐ” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพียงแต่มันซ้อนทับกันอยู่เหมือน "คนกับเสื้อผ้า” (หรือข้อมือกับนาฬิกาหรู)
คนไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ และบรรพชนของเราก็เคยไม่ใส่มันมาแล้ว แต่เมื่อมีความจำเป็นจึงต้องใส่
ข้อพิสูจน์ที่ไม่ต้องเถียง ว่าสังคมกับรัฐไม่ใช่สิ่งเดียวกันก็คือ มีคนจำนวนมหาศาลไม่ต้องการมีรัฐ หรือมีภาพฝันเป็น “สังคมไร้รัฐ” อย่างสังคมคอมมิวนิสต์ และสังคมพระศรีอาริยเมตไตรย์ (ซึ่งก่อนจะถึงยุคที่มีรัฐก็เคยมีสังคมไร้รัฐมาก่อนแล้ว)
แต่นั่นเป็นเรื่องฝันกลางวัน ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นจริงไม่ได้...มันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สำนึกและตระหนักถึง “ใจเขาใจเรา...ที่รักสุขเกลียดทุกข์ จึงไม่เบียดเบียนกัน แต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในยุคก่อนมีรัฐ
ไม่ใช่การใช้กำลังกดขี่บังคับอย่างที่มนุษย์บางจำพวกกระทำมาแล้ว (ปฏิวัติ - แย่งยึดอำนาจ)
ล่วงมาถึงยุคนี้ ลัทธิอุดมการด้านการเมืองและเศรษฐกิจได้ “ใช้มนุษย์” ให้กระทำตามคำสอนของมันหมดแล้ว แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จดังเจตจำนงของมหาชนหรือรัฐเลย ดังนั้นความหวังเฉพาะตัวผมก็คือ มีพรรคการเมืองสักพรรคหนึ่งที่นำเอาสภาพสังคมไทยและโลกมาแปรเป็นนโยบายพรรค โดยการสร้างดุลยภาพระหว่าง “มนุษย์ - โลกธรรมชาติ - เศรษฐกิจ” ให้ตรงกับเจตจำนงของรัฐ ก็จะสร้างความยั่งยืนได้จริง
หากพูดให้ล้ำสมัยสำหรับเมืองไทยก็คือ “กรีนยูโธเปีย” (green utopia) ที่ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ (เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ) ได้เสนอไว้เป็นทางเลือกมา 20 ปีแล้ว
(เลือกเอาสักอย่างสองอย่าง หรือผสมผสานกันก็ได้) คือ
๑.ทุนนิยมสีเขียว (green capitalism)
๒.นิเวศสังคมนิยม (eco – Socialism)
๓.นิเวศวิทยาแนวลึก (deep ecology)
๔.นิเวศวิทยาของชาวพุทธ (buddhist ecology)
พรรคก้าวหน้าที่วนไปย่ำอยู่ในปี “๑๗๘๙” กับปี “๒๔๗๕” ก็ต้องสำเหนียกไว้ด้วยว่าทรัพยากรธรรมชาติกำลังจะหมดโลก ขณะที่จำนวนมนุษย์เพิ่มขึ้น เพราะหากปฏิวัติสำเร็จแต่พลเมือง “ไม่มีแดก” ก็จะยุ่ง!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี