อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์แห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้า อันเป็นเทศกาลที่คนอเมริกันเชื่อว่า เป็นการเฉลิมฉลองหลังรอดพ้นจากโรคระบาดครั้งใหญ่ เมื่อครั้งที่ชาวอังกฤษเดินทางมาสร้างอาณานิคมแห่งแรกในอเมริกา แต่เมื่อมาถึงแผ่นดินใหม่เป็นช่วงฤดูหนาว ผู้อพยพทนความหนาวอันทารุณของอเมริกาไม่ไหว อีกทั้งขาดแคลนอาหาร จึงล้มตายมากกว่าครึ่ง เหลือรอดชีวิตเพียงเล็กน้อย จึงจัดงานเลี้ยงฉลองร่วมกับอินเดียนแดง แต่ปีนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะกลับกัน คืออาหารมื้อใหญ่ในวันขอบคุณพระเจ้าอาจจะกลายเป็นมื้อสุดท้ายของอเมริกันจำนวนมาก
นาทีนี้สถานการณ์โควิดในอเมริกาเรียกได้ว่าหายนะ นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ก็ไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลย แต่ตอนนี้จัดได้ว่าสาหัสทั้งประเทศ มาดูตัวเลขกลมๆ กันก่อนดีกว่า วันที่เขียนคอลัมน์นี้ ยอดป่วยสะสมทั้งอเมริกาอยู่ที่ 12,697,825 คน สิบสองล้านกว่าๆ นี่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มีหลายปัจจัยที่เดี๋ยวจะแจกแจงให้ฟังว่าทำไมถึงป่วยกันขนาดนี้ ป่วยกันสิบสองล้านกว่า ตายไปสองแสนหก (263,298) ยอดผู้ป่วยรายวันบางวันแตะสองแสนราย เล่นเอาบรรดาหมอพยาบาลตีอกชกหัวไปตามกัน เพราะคนไข้ล้นโรงพยาบาล
อย่าถามถึงตาลุงผมเป๋ ตอนนี้แกไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากนั่งทำหน้าเด็กดื้อ สะบัดหน้าไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่ยอมส่งมอบอำนาจให้ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ แถมเดินหน้ายื่นฟ้องศาลรัฐนั้นรัฐนี้ด้วยข้อกล่าวหาลมๆ แล้งๆ ว่า ถูกโกงเลือกตั้งทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน จะให้ประชาชนหวังพึ่งอะไรได้ล่ะ ขนาดแกเองยังติดโควิด เมีย ลูกชาย บารอน ล่าสุดลูกชายคนโต ดอน จูเนียร์ ทรัมป์ติดโควิดไปด้วยอีกคน เผลอๆ ตระกูลทรัมป์คงได้ลิ้มรสโควิดทั้งตระกูล ครอบครัวตัวเองยังปกป้องไม่ได้ อย่าคาดหวังว่าจะมาปกป้องครอบครัวคนอื่นได้เลย
ประเด็นที่น่าวิตกมากตอนนี้คือ การระบาดจัดหนักของโควิดและเทศกาลขอบคุณพระเจ้านี่แหละ ตอนโควิดระบาดในจีน คนจีนทั้งประเทศเสียสละไม่ฉลองตรุษจีน ตอนระบาดในไทย คนไทยทั้งชาติงดจัดสงกรานต์ แต่ฝรั่งผู้เจริญช่างไม่สนสีสนแสด จะจัดงานฉลองกันต่อ ตอนฮาโลวีนก็จัด..ขอบคุณพระเจ้าก็จัด แม้องค์กรอนามัยของอเมริกาเตือนว่าอย่าบินกลับบ้านช่วงนี้ก็บิน หน้ากากก็ใส่บ้างไม่ใส่บ้าง ล่าสุดมีการทำโพล สรุปว่าการจัดงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้าคุ้มค่ากับการเสี่ยงติดโควิด ผู้เขียนรู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่ในโลกคู่ขนาน วันเดียวกันนั้นมีการรายงานข่าวว่า ในเท็กซัสมีครอบครัวฉลองวันเกิด ทั้งครอบครัวรวม 15 คนติดโควิดหมด
สถานการณ์การระบาดโควิดก็น่ากลุ้มพออยู่แล้ว ไอ้ช่วงที่หัวเลี้ยงหัวต่อนี่แหละที่น่ากลุ้มกว่า ล่าสุด เมื่อ สกอตต์ อัตลาส ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของทรัมป์ ซึ่งไม่มีคุณสมบัติหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสาธารณสุขหรือโรคติดต่อใดๆ ยุประชาชนในมิชิแกน ลุกฮือต่อต้านมาตรการสกัดโควิด-19 แทนที่จะให้ความร่วมมือกับทุกความพยายามที่กำลังต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคระบาดใหญ่นี้ให้ได้
ขณะที่ตาลุงผมเป๋ยื้ออำนาจไว้สุดฤทธิ์ ไม่ยอมส่งมอบให้โจ ไบเดนง่ายๆ สถาบันทางการแพทย์ในอเมริกาก็เข้าไปแทรกกลางสงครามการเมือง แล้วตะโกนว่าทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วโว้ย เรียกร้องให้ทรัมป์ส่งมอบข้อมูลเรื่องโควิดมาให้อย่างด่วนๆ อย่าหมกเม็ดอยู่แบบนี้ ไม่งั้นได้ตายกันหมดทั้งประเทศแน่ๆ โดยใจความสำคัญในจดหมายเปิดผนึกมีดังนี้
“มีความจำเป็นต้องที่แบ่งปันข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์ ทั้งด้านการรักษา เสบียงชุดตรวจเชื้อ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เครื่องช่วยหายใจ, ปริมาณเตียงโรงพยาบาล และอัตรากำลังคนที่พร้อมสำหรับแผนประจำการทรัพยากรของประเทศเพิ่มเติม เพื่อปกป้องชีวิตคนอเมริกันในประเทศ”
ทั้งนี้เพราะตาลุงผมเป๋กอดข้อมูลทุกสิ่งอย่างไว้แน่น ไม่ยอมร่วมมือกับทีมผ่องถ่ายอำนาจในการจัดการวิกฤตโรคระบาด แถมยังขัดขวาง ไม่ให้เข้าถึงข้อมูลข่าวกรองด้านความมั่นคงของประเทศ ประเด็นทางการเมือง และแผนการแจกจ่ายวัคซีนอีกด้วย คือตาลุงอาชีวิตพลเมืองเป็นหมากเบี้ยเดินเกมต่อรองชัดๆ เจอผู้นำแบบนี้ พลเมืองอเมริกันทำตาปริบๆ เหมือนมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่จะว่าไปโทษแต่ผู้นำและรัฐบาลไม่ได้เต็มร้อยทีเดียว ในเมื่อคนอเมริกันเองก็ไม่ให้ความร่วมมือในการป้องกันโรคเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากคนไทยบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เข้าสู่หน้าหนาว ปกติไม่มีโควิด คนอเมริกันก็ตายกันเป็นเบือเพราะไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว แต่นี่ผสมโควิดเข้าไปด้วย ลองคิดดูเถอะว่าจะหนักหนาขนาดไหน อย่างที่เขียนเล่ามาตลอดว่า จุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดตอนแรกอยู่ฝั่งตะวันออก คือรัฐนิวยอร์ก แล้วลงมาทางใต้ ตอนนี้ลามมาถึงบริเวณตอนกลางของประเทศที่เรียกว่ามิดเวสต์ ซึ่งคือรัฐที่ผู้เขียนอยู่
ผู้ว่าการรัฐ 7 แห่งในแถบมิดเวสต์ ประกอบด้วย มินนิโซตา มิชิแกน อิลลินอยส์ โอไฮโอ อินเดียน่า เคนทักกีและวิสคอนซินขอร้องประชาชนทำตามคำแนะนำของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ด้วยการไม่ฉลองวันขอบคุณพระเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ดูทรงแล้วไม่ได้ผลหรอก ขนาดครอบครัวพี่สาวผู้เขียน ยังกระดี๊กระด๊าจัดงานอยู่เลย ซึ่งผู้เขียนปฎิเสธไปแล้วว่า จะไม่ไปร่วมงาน
ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียสั่งเคอร์ฟิวกลางคืน ห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่าง 22.00-05.00 น. ส่วนรัฐโอไฮโอออกคำสั่งเคอร์ฟิวกลางคืนช่วงเวลาเดียวกันยาวติดต่อ 21 วัน เมืองนิวยอร์กสั่งปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียน สำหรับนักเรียน 1.1 ล้านคน
จับตาดูจำนวนคนป่วยโควิดที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันแล้วยอมรับว่าหวาดกลัว ล่าสุดโรงพยาบาลแถวบ้านผู้เขียนแถลงข่าวว่าไม่มีเตียงไอซียูให้คนป่วยโรคอื่นอีกต่อไปแล้ว การผ่าตัดทั้งหลายทั้งปวงต้องเลื่อนออกไป บางคนรอไม่ไหวก็ตายไปก่อนเวลาอันควร เพราะเตียงไอซียูทั้งหมดถูกนำไปให้คนป่วยโควิด เห็นกับตาว่าเริ่มมีขบวนรถแช่เย็นศพมาจอดท้ายโรงพยาบาล บอกตรงๆ ว่าอากาศขมุกขมัวทึมเทาทุกวัน แล้วขับรถผ่านขบวนรถแช่ศพจอดท้ายโรงพยาบาลนี่ สยองยิ่งกว่าดุหนังผีทุกเรื่องรวมกัน
ขนาดป่วยตายโครมๆ แต่อเมริกันก็ไม่สำเหนียกสำนึกอะไร หน่วยงานทางการแพทย์ออกคำสั่งอะไรมาก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่ยอมเสียสละอะไรเลย ยังใช้ชีวิตแบบไม่ยอมสละความสุขเพื่อส่วมรวมเลยแม้แต่น้อย
ด้านศูนย์ควบคุมโรคและการป้องกันสหรัฐฯ CDC แนะนำไม่ให้ชาวอเมริกันเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้า แทนที่จะเชื่อฟัง กลับแห่ไปสนามบิน เพื่อเดินทางกลับไปฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้ากับครอบครัว ข้อมูลจากสำนักงานความปลอดภัยในการขนส่งของสหรัฐฯระบุว่า มีชาวอเมริกันเดินทางด้วยเครื่องบินกว่า 1 ล้านคนในอาทิตย์นี้
สรุปคือห้ามไปเถอะ ไม่มีอเมริกันคนไหนทำตาม ไม่อยากจะนึกเลยว่าหลังวันขอบคุณพระเจ้า สถานการณ์การระบาดจะหนักหน่วงขนาดไหน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเพื่อนพยาบาลไทยในเมืองแอตแลนต้า เธอสารภาพว่าหวาดกลัวทุกวันที่ออกจากบ้านไปทำงาน ไม่รู้ว่าวันไหนจะพลาดติดโควิด ที่สำคัญ ในวันนี้ไม่มีเตียงพยาบาลให้ผู้ป่วยโควิดอีกต่อไปแล้ว หลายแห่งต้องดัดแปลงลานจอดรถในอาคารให้กลายเป็นโรงพยาบาลผุ้ป่วยโควิด ฤดูหนาวปีนี้คงเป็นฤดูหนาวอันยาวนานอย่างแท้จริงสำหรับอเมริกันทุกคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี