น่าแปลกใจว่าทำไมเพิ่งรู้ตัว บรรดาสมาชิก EU หงุดหงิดว่าสุดท้ายแล้ว อเมริกาก็ได้ประโยชน์สุดๆ จากสงครามยูเครนและการคว่ำบาตรรัสเซีย
เรื่องนี้ไม่ได้นั่งทางในเขียน แต่มาจากสื่ออเมริกันอย่าง Politico ซึ่งเป็นสื่อการเมืองชื่อดังของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรปหลายคนเริ่มไม่พอใจรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน เนื่องจากมองว่าวอชิงตันเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากสงครามยูเครน
ขณะที่ยุโรปกลับต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจหนักหน่วง ทั้งภาวะขาดแคลนก๊าซ และราคาข้าวของที่พุ่งสูงขึ้น อือ..ความรู้สึกช้าจังเนาะ มองลงมาจากดาวอังคารยังรู้เลย
เจ้าหน้าที่ระดับสูงอียูคนหนึ่งบอกว่า สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนมากที่สุด เพราะทำให้อเมริกาส่งออกก๊าซได้มากขึ้นและในราคาที่สูงขึ้นแถมยังขายอาวุธได้มากขึ้นด้วย
แต่นั่นไม่ได้หมายความมวลมหาอเมริกันจะไม่กระทบต่อกระเป๋านะ เพราะข้าวของสินค้าต่างๆ แพงจนขนลุกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ค่าครองชีพ ราคาอาหารล้วนขึ้นราคาพรวดๆ ทุกสิ่งอย่าง แต่ก็นั่นแหละหากเทียบกับยุโรปแล้ว อเมริกาก็ถือว่ายังไม่เดือดร้อนเท่ายุโรป
สัญญาณรอยร้าวระหว่าง 2 ทวีปเกิดขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการคว่ำบาตรที่ชาติตะวันตกใช้กับมอสโก ทำให้การลำเลียงก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเข้าสู่ยุโรปต้องหยุดชะงัก จนอียูต้องหันไปพึ่งพิงก๊าซนำเข้าจากอเมริกาซึ่งราคาสูงกว่าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ถึง 4 เท่าตัว
มาครงแอบด่ามาแล้วหนหนึ่ง โดยบอกว่า การที่อเมริกาทำแบบนี้ถือว่าไม่เป็นมิตรเลยนะ เมื่อถูกผู้นำอียูตั้งคำถามเรื่องนี้ระหว่างการประชุมซัมมิต G20 แต่อเมริกาก็ผิวปากจิบโค้กนิ่งเฉยแบบไม่รู้ไม่ดูไม่แคร์ก็ปกติธรรมดาตามสันดานลุงแซมนะ อะไรที่ได้ประโยชน์ ลุงแซมเอาหมด ถ้าคนอื่นเสียประโยชน์ แต่ตัวเองได้ประโยชน์ ลุงแซมก็เสมองไปทางอื่นแล้วผิวปากเบาๆ ทุกที
อีกหนึ่งปมปัญหาที่ทำให้อียูไม่พอใจก็คือกฎหมาย US Inflation Reduction Act ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นการเติบโตที่สหรัฐฯ จะให้เงินอุดหนุนและสิทธิยกเว้นภาษีแก่ภาคธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่บรัสเซลส์เกรงว่ามาตรการนี้อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของอียู เนื่องจากจะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันมีความได้เปรียบค่ายยานยนต์ของยุโรปในตลาดสหรัฐฯ
ความขุ่นเคืองที่หนักหนาสาหัสกว่านี้ คือ เมื่อยูเครนขอให้ช่วยส่งเงินและอาวุธหลายประเทศในยุโรปก็ส่งให้รัวๆ แต่เงินเหล่านั้นไปเข้ากระเป๋าลุงแซมในที่สุด เพราะการซื้ออาวุธจากอเมริกา เท่ากับยิ่งให้เงินยูเครน มีผลทำให้บริษัทค้าอาวุธของอเมริกายิ่งรวยขึ้นๆ
มาดูกันว่าบริษัทค้าอาวุธของอเมริกาล่ำซำแค่ไหน ยิ่งรบกันยิ่งร่ำรวยนะ ยู บริษัทค้าอาวุธสงครามเบอร์ต้นของโลกอยู่ในอเมริกา ครองส่วนแบ่งกว่า 59% ของโลก
บริษัทค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ล็อคฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin Corporation) ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวสองบริษัทใหญ่ คือบริษัทขายเครื่องบิน Lockheed Corporation กับบริษัทขายจรวดและขีปนาวุธคือ Martin Marietta
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มเผยแพร่ข้อมูลอุตสาหกรรมอาวุธของโลกประจำปี 2561 จัดอันดับบริษัทที่มียอดขายจากการค้าอาวุธสูงที่สุดเอาไว้ 100 อันดับ 80 แห่งเป็นบริษัทที่มาจากอเมริกา ยุโรป และรัสเซีย ส่วนประเทศที่มียอดขายสูงสุด 4 อันดับแรกก็คือ อเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ตรงนี้สิสำคัญ เพราะตัวเลขไม่โกหกว่า อเมริกาครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 1 ในด้านการค้าอาวุธสงคราม
บริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ 5 อันดับแรกอยู่ในอเมริกาทั้งหมด โดยล็อคฮีด มาร์ตินเป็นบริษัทที่ครองแชมป์ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ให้บริการผลิตภัณฑ์ด้านอากาศยาน อวกาศ และการป้องกันที่ทันสมัยเช่น เครื่องบินรบ Missile System เรดาร์และเซ็นเซอร์ในการตรวจจับตำแหน่งสัดส่วนรายได้หลัก 27% มาจากการเครื่องบินรบ F-35 Joint Strike Fighterซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีราคาแพงที่สุดในโลกมูลค่ากว่า 78 ล้านดอลลาร์ต่อลำ โดยในปี 2021 ที่ผ่านมาสามารถส่งมอบเครื่องบินนี้ได้ 142 ลำ ในขณะที่มี ยอดจองมากกว่า 3,100 ลำยาวไปจนถึงปี 2035
เวบ Bi Brand Inside พาดหัวว่าหุ้นบริษัทอาวุธสงครามพุ่งขึ้น หลังชาติตะวันตกประกาศแซงก์ชั่นรัสเซีย โดยมีเนื้อข่าวดังนี้คือ แม้ตลาดทุนทั่วโลกจะปรับลดลงหลังการประกาศสงครามของรัสเซีย แต่หลังจากการประกาศแซงก์ชั่นของชาติตะวันตก นำโดยอเมริกา ตลาดหุ้นหลายแห่งกลับมาปรับตัวเป็นบวก โดยเฉพาะบริษัทด้านอาวุธสงคราม ที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าตลาดทั้งหมด
Lockheed Martin Corp. บริษัทด้านอากาศยาน อวกาศ และการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามผู้ผลิตเครื่องบินรบ F-35 เพิ่มขึ้น 1.75% Northrop Grumman Corp. บริษัทผู้ผลิตอากาศยานทางการทหาร ต่อเรือรบ และเทคโนโลยีทางการทหาร เพิ่มขึ้น 2.44% ส่วน AeroVironment บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโดรนทางการทหาร ราคาหุ้นเพิ่ม 9.63% อีกบริษัทคือ Raytheon Companyบริษัทผู้ผลิตมิสไซล์และเรดาร์ เพิ่มขึ้น2.75% ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นบริษัทอเมริกัน
คงพอมองเห็นภาพกันแล้วใช่ไหม มิตรรักแฟนเพลงทั้งหลายว่าใครกันนะที่ได้ผลประโยชน์จากเลือดเนื้อและความตายในสงคราม แล้วใครกันหนอที่คืออาชญากรสงครามตัวจริงของโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี