วันอาทิตย์ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568
.jpg)
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดให้กลายเป็นประเด็นบาดหมางน้ำใจกัน อาทิตย์ที่ผ่านมา ลุงโจ ไบเดนไปเยือนญี่ปุ่น เพื่อร่วมประชุมกลุ่มประเทศ G7 ในฮิโรชิมา ซึ่งชาวโลกรู้ว่าทั้งฮิโรชิม่าและนางาซากิคือสองเมืองที่อเมริกาประเคนระเบิดปรมาณูให้แบบจัดเต็ม เรื่องนี้เป็นความสะเทือนใจที่โลกลืมไม่ลงและไม่มีวันลืม โดยเฉพาะครอบครัวผู้สูญเสียนับล้านๆ คน
ในฐานะผู้นำประเทศ เวลาให้สัมภาษณ์สื่อ อย่าให้บางคำพูดหลุดออกไปสร้างความชิงชังฝังลึกหรือความสะเทือนใจดีกว่าไหมล่ะ ลุงโจ ไบเดนจะไปเยือนอนุสรณ์สถานสันติภาพในจังหวัดฮิโรชิมา ชาวโลกเลยอยากรู้ว่าลุงโจจะแสดงความเสียใจหรือกล่าวอะไรบ้างไหน แต่ซอรี่จ้า เพราะคำตอบคือ “ไม่”
นั่นคือจะไม่มีการออกแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุที่เกิดขึ้น ในการใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อทำให้ญี่ปุ่นยอมจำนนเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
ไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่เดินทางไปฮิโรชิมา และพบกับเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์สหรัฐฯ ก่อนหน้านั้นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรก ที่ไปเยือนฮิโรชิมา
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่ออกแถลงการณ์ที่สวนรำลึกสันติภาพ (Peace Memorial Park) จริงๆ แล้วลุงโจน่าจะแสดงความเสียใจบ้างไรบ้างนะ เพราะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน ฟูมิโอ คิชิดะ นั้นมาจากจังหวัดฮิโรชิมา
นักการเมืองญี่ปุ่นหลายคนเรียกร้องให้วอชิงตันขออภัยต่อการใช้นิวเคลียร์โจมตี หลายคนอาจจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น บอกตรงๆ เลยว่าแม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายสิบปี แต่เรื่องนี้คือบาดแผลในใจคนญี่ปุ่นทั้งปวง
วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เป็นวันที่ลุงแซมโจมตีเมืองนางาซากิ ด้วยการนำระเบิดปรมาณูชื่อ “ไอ้อ้วน” หรือ Fat Man ไปหย่อนใส่เป็นการสั่งสอนและล้างแค้น โทษฐานที่พี่ยุ่นลอบถล่มเพิร์ลฮาเบอร์แบบอหังการ์ก่อนหน้านั้น การบินไปถล่มเพิร์ลฮาเบอร์เท่ากับว่าเป็นการฟาดกบาลลุงแซมอย่างจัง เพราะผลจากการทิ้งระเบิดหนนั้น ทำให้ผู้คนตายเป็นเบือ โดยเฉพาะทหารอเมริกัน จนคนอเมริกันเคียดแค้นแสนสาหัสพาลเกลียดคนญี่ปุ่นอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู สื่อมวลชนป้ายสีให้ผู้นำฝ่ายอักษะดูน่าเกลียดน่ากลัวผิดมนุษย์เป็นการโฆษณาชวนเชื่อแทบทุกวัน
ก่อนหน้าที่ลุงแซมจะถล่มทั้งฮิโรชิม่าและนางาซากิ ก็ปูพรมทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือนจนแทบไม่เหลือดี ต่อมาลุงแซมถือโอกาสทดลองทางการทหารแบบจัดหนัก จึงงัดระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า "พ่อหนูน้อย" หรือ "Little Boy" แต่พิษสงแสบทรวงเหลือรับไปถล่มใส่เมืองฮิโรชิม่าในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945
ตามด้วย "ไอ้อ้วน"หรือ "แฟตแมน" ลูกที่สองใส่เมืองนางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิม่า 140,000 คนและที่นางาซากิ 80,000 คน นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตเพราะบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ที่น่าเศร้าที่สุดคือผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงคราม ลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายนปีนั้น
แม้เหตุการณ์ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ยังไม่มีคำว่า “ขอโทษ” จากฝ่ายลุงแซมแม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งหนนี้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจำเป็นหรือไม่ ที่จะต้องใช้ระเบิดปรมาณูกับญี่ปุ่น แม้ว่าพี่ยุ่นซ่าสุดฤทธิ์ แต่ตอนนั้นญี่ปุ่นบอบช้ำมาก จนกำลังจะยอมแพ้สงครามอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีระเบิดปรมาณูมาประเคนให้ถึงบ้านก็ตามที
ผู้ที่ออกคำสั่งทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มญี่ปุ่นคือประธานาธิบดีทรูแมน มิหนำซ้ำยังยืดอกรับเครดิตในครั้งนั้นว่า ระเบิดสองลูกนั้นช่วยปกป้องพลเมืองโลกได้อีกมากมายเพราะญี่ปุ่นยอมแพ้ แต่ไม่ยักออกมาบอกว่าตัวเองเข่นฆ่าพลเรือนญี่ปุ่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปเท่าไหร่ หากสืบสาวประวัติศาสตร์กันจริงๆ ลุงแซมโกหกคำโตไว้มากมายในกรณีนี้ เช่น ทรูแมนออกประกาศว่าจะทิ้งระเบิดในเขตทหารเท่านั้น แต่เกิดพลิกผันอย่างไรไม่รู้ ทำให้ระเบิดหล่นตูมโซนบ้านเรือนประชาชนทั่วไป
ลึกๆ แล้วลุงแซมไม่สนใจหรอกว่าจะทิ้งระเบิดโดนหัวใครบ้าง เพราะแค้นฝังหุ่นที่พี่ยุ่นบังอาจกระโดดถีบหน้าคราวเพิร์ลฮาเบอร์ หากค้นเอกสารเก่าๆ จะเห็นว่าประธานาธิบดีทรูแมนตอแหลได้ใจมาก ปากพูดออกอากาศให้คนอเมริกันฟังอย่างเคลิบเคลิ้มว่า การทิ้งระเบิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำจริงๆ และอาจจะมีผู้เสียชีวิตบ้าง โดยเน้นว่าทำลงไปเพื่อรักษาชีวิตทหารอเมริกัน ฟังแล้วหวานได้ใจอเมริกันทั้งประเทศ เพราะใครๆ ก็อยากให้ทหารอเมริกัน ซึ่งเป็นพ่อ ลูกชาย หรือพี่น้องตนเองกลับบ้านด้วยกันทั้งนั้น
แต่หลักฐานอีกชิ้นที่บ่งบอกความตอแหลของผู้นำอเมริกาคือ โทรเลขที่ส่งถึงสมาชิกวุฒิสภาริชชาร์ด รัสเซล ของจอร์เจียสั้นๆ ว่า
“คงจะทำตามที่คุณบอกมาไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นนั้นคือสัตว์ร้ายและไม่มีกฎกติกามารยาททางการรบ จึงต้องจัดการให้สาสมในแบบเดียวกัน ทั้งๆที่ผมเองก็เสียใจที่ต้องกำจัดพวกชาวเมืองเหล่านั้น แต่ช่วยไม่ได้เพราะพวกเขามีผู้นำที่โง่เง่า แม้ว่าจะเห็นใจเด็กและสตรีอยู่บ้าง”
เอกสารเหล่านี้มีปรากฎชัดเจนในประวัติศาสตร์ สามารถสืบค้นและหาอ่านได้ไม่ยาก ความสะเทือนใจที่สุดในเหตุการณ์โลกครั้งนี้คือ ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตจากระเบิดทั้งสองลูกนับแสนคน รวมทั้งที่ทยอยเสียชีวิตหลังจากถูกกัมมันตรังสีอีกหลายสิบปี ถือเป็นโศกนาฎกรรมครั้งสำคัญไม่ต่างไปจากการที่ชาวยิวถูกสังหารหมู่ในค่ายกักกันนาซี สงครามนั้นเต็มไปด้วบความโหดร้ายและแทบไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำลายกันและกันอย่างผิดมนุษย์เช่นนี้

สลด! ลิงกังกัด ชายวัย 63 เสียชีวิตคาบ้าน พบมือยังถือเหล็กยาว มีบาดแผลบริเวณขาซ้าย
ดราม่าสนั่นเครื่องเล่น Skyflyers เสียงกรี๊ดดังโหยหวนยันดึก ชาวชุมชนรอบเอเชียทีคสุดจะทน
เปิดวินาทีไทยแสดงหลักฐาน ทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิด กลางที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา
วันนี้ในอดีต! รำลึก 27 ปี ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เปิดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 มิตรภาพไร้พรหมแดน
เตรียมออกหมายเรียก เวย์ ไทเทเนียม รับทราบข้อกล่าวหา ฉ้อโกงทรัพย์ สัปดาห์หน้า

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี