คนเราจะเริ่มมีพยาธิสภาพของการเกิดโรค คือ หลอดเลือดจะค่อยๆตีบทีละเล็กละน้อยตั้งแต่เกิด ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม และพฤติกรรมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกิน การออกกำลังกายเป็นหลัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อีกมากมาย เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ภาวะเครียด ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดตีบ (atherosclerosis) และต่อมาอุดตัน ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด atherosclerosis มีอย่างน้อย 10 ประการ คือ หนึ่ง พันธุกรรม กล่าวคือ ถ้าพ่อแม่เราเป็นโรคหลอดเลือด เรามีสิทธิ์เป็นมากกว่าคนอื่นที่พ่อแม่ไม่เป็น สอง เพศชาย มีสิทธิ์เป็นมากกว่าเพศหญิง จนกระทั่งผู้หญิงประจำเดือนหมด (เพราะช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน จะมีการผลิตฮอร์โมนที่ป้องกันโรคหลอดเลือดได้)สาม อายุ ยิ่งสูงอายุก็ยิ่งมีความเสี่ยง สี่ การสูบบุหรี่ และอากาศที่เป็นพิษ WHO บอกว่า 91% ของชาวโลกอยู่ท่ามกลางอากาศที่เป็นพิษ 29% ของโรคมะเร็งปอดมาจากอากาศเป็นพิษ 25% ของโรคหลอดเลือดหัวใจ 24% จากโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันมาจากอากาศที่เป็นพิษ
ห้า การดื่มแอลกอฮอล์มากไป หก ความดันโลหิตสูง เจ็ด โรคเบาหวาน แปด อ้วน เก้า การไม่ออกกำลังกาย คนที่ผอมโดยธรรมชาติ โดยไม่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ท้วมนิดๆ แต่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าน้ำหนักกำลังดีและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะยิ่งดีใหญ่ สิบ ภาวะเครียด ฯลฯ
ทั้งนี้การกินเค็มมากไปจะทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ถ้ามีความดันโลหิตสูงจะไปทำให้เกิดความกดดันต่อผนังหลอดเลือด ทำให้มีการอักเสบแบบเรื้อรัง ยิ่งถ้ามีไขมันในเลือดสูง จะยิ่งทำให้เกิดการฝังตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด ทำให้มีการตีบของหลอดเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ WHO แนะให้กิน Sodium (Na) ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งเท่ากับเกลือ 5 กรัม หรือหนึ่งช้อนชา หรือน้ำปลา ไม่เกิน 3 ช้อนชาต่อวัน ทั้งจากการปรุงแต่งอาหารในครัวและบนโต๊ะ แต่เรากินวันละ
อย่างน้อย 2 เท่า ซึ่งถ้าเราไม่กินเค็มได้จริงๆ ตั้งแต่เกิด โรคความดันโลหิตแทบจะหายไปหมด จะทำให้โรคไตวายหายไปด้วย รวมทั้งการฟอกเลือดล้างไต ยิ่งถ้าไม่กินหวาน WHO ให้กินน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน โรคเบาหวานจะลดลง โรคไต การฟอกเลือดก็จะลดลงด้วย
เมื่อคนเรามีอายุสูงขึ้น ความดันโลหิต ระดับไขมัน น้ำตาล ในเลือด จะสูงขึ้น ฉะนั้นจึงควรวัดความดันบ่อยๆ วัดระดับไขมัน น้ำตาลในเลือด เป็นระยะๆ
เมื่อไหร่จึงควรตรวจสุขภาพประจำปี ผมมีความเห็นว่าถ้าสบายดี ญาติพี่น้องไม่มีโรคอะไร อย่างน้อยควรเริ่มตรวจสุขภาพประจำปีเมื่อเริ่มเข้างาน โดยทั่วๆ ไปเวลาเข้างานใหม่ๆ หน่วยงานนั้นจะตรวจสุขภาพของผู้เข้างานใหม่ทุกๆ คน แต่ถ้ามีอาการเมื่อไหร่ต้องไปหาแพทย์เลย
แล้วควรตรวจอะไร
ผมมีความเห็นว่าการตรวจสุขภาพ ควรมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทั้งตัว และการตรวจเพิ่มเติมทางห้างแล็บ ฯลฯ ควรซักประวัติอย่างละเอียดของคนคนนั้นเอง ว่ามีประวัติโรคอะไรไหม ฉีดวัคซีนอะไรบ้าง เช่น คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ต้องฉีดทุก 10 ปี ประวัติการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์, สารเสพติด เพศสัมพันธ์ ออกกำลังกายประวัติในอดีต ประวัติครอบครัว ฯลฯ การตรวจร่างกาย ควรตรวจ น้ำหนักส่วนสูง เพื่อหา BMI, หรือ Body Mass Index หรือดัชนีมวลกาย ซึ่งก็คือน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง ค่า BMI ควรอยู่ต่ำกว่า 23 ควรวัดรอบเอวด้วย ชาย หญิง ควรเล็กกว่า 90,80 ซม. ตามลำดับ ฯลฯ
ถ้าเราเพียงรักษาให้ BMI และรอบเอวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้วยการออกกำลังกาย คุมอาหาร แค่นี้ก็จะไล่โรคภัยไข้เจ็บไปมากมาย แต่บางคนอาจมียีนหรือพันธุกรรมที่ไม่ดี ถึงแม้กินอาหารถูกต้อง ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ แต่ไขมัน น้ำตาลในเลือด อาจยังสูง รวมทั้งกินนิดเดียวยังอ้วนได้
Harvard Health Letter ฉบับที่ 46,9, July 2021 แนะนำว่าในการตรวจเลือด นอกเหนือจากที่ต้องตรวจประจำอยู่แล้ว (แต่ไม่ได้บอกว่าที่ตรวจประจำมีอะไรบ้าง)มี 5 อย่างที่ควรตรวจเพิ่มเป็นครั้งคราว คือ วิตามิน B12, วิตามินดี,hepatitis C, HIV และน้ำตาล ซึ่งทั้ง 5 อันนี้ผมแนะนำอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมเสนอความเห็นของผมว่าควรตรวจอะไรบ้าง นอกเหนือจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย
1) ตรวจปัสสาวะ ตรวจปัสสาวะง่ายมาก ไม่เจ็บตัว ไม่แพง แต่ได้ข้อมูลมาก เช่น ดูเม็ดเลือดแดง ขาว ไข่ขาว ถ้ามีเม็ดเลือดแดงมาก อาจบอกว่ามีโรคที่ทำให้มีเลือดออก เช่น นิ่ว เชื้อโรค มะเร็ง เม็ดเลือดขาวก็บ่งถึงการติดเชื้อ ไข่ขาวก็แสดงว่าไตอาจมีปัญหา น้ำตาลอาจเป็นเบาหวาน ฯลฯ
2) เลือด-ดูโลหิตจาง เม็ดเลือดแดง ขาว เกล็ดเลือด หน้าตาของเม็ดเลือดแดง ฯลฯ
น้ำตาลในเลือด (sugar หรือ glucose), uric acid (ดูโรคเกาต์)
ไขมัน - Total cholesterol, Triglyceride, HDL, LDL
BUN, Cr (ไต)
ตับ Liver Function Test, (LFTs) มี bilirubin total, direct, alkaline phosphatase, SGOT, SGPT, Albumin, Globulin ฯลฯ
เชื้อไวรัสตับอักเสบ B. C (hepatitis B Virus, HBV, hepatitis C Virus, HCV), HIV
และการตรวจอื่นๆ ซึ่งอาจไม่ช่วยมาก แพทย์บางท่านอาจบอกว่าไม่จำเป็น แต่ผมว่าควรทำเป็นพื้นฐานและเก็บไว้คอยเปรียบเทียบกันในอนาคต เช่น Xray ปอด, ECG (กราฟหัวใจ) US ท้อง และอันหนึ่งที่ควรทำ คือ fibroscan ของตับหรือ transient elastography ดูตับมีไขมันมากน้อยแค่ไหน มีพังผืดไหม ซึ่งเป็นการตรวจที่ง่ายมาก10 นาที คล้ายๆ ทำ ultrasound เก็บไว้เป็นพื้นฐาน เพราะคนเราเดี๋ยวนี้จะอ้วนกันมาก และอ้วนที่พุงจะอันตรายมาก ถ้ามีไขมันสะสมในตับมาก อาจจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งของตับได้
นอกจากนี้จะตรวจอะไร แล้วแต่มีอาการอะไรหรือไม่ แพทย์สงสัยอะไร ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี