เมื่อได้เงินเดือนเดือนแรกต้องหักออมไว้ทันที 10-15% ของเงินเดือน แล้วจึงใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ถ้ายังมีเงินเหลืออีกต้องเก็บไว้ ไม่ใช่ใช้ให้หมดเช่น รับเงินเดือน 30,000 บาท แต่มีรายจ่ายเพียง 15,000 บาท ต้องออมทั้งหมดที่เหลือ ไม่ใช่เก็บออมไว้เพียง 10-15% ของรายรับเท่านั้น
ในกรณีที่มีเงินเหลือใช้ 15,000 บาทต่อเดือน ก่อนที่จะทำอะไร ต้องมีเงินก้อนหนึ่งที่เก็บไว้เผื่อต้องใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น ตกงาน เพราะโควิด-19 กองทุนเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ ควรมีประมาณ 6-12 เดือนของรายจ่ายในแต่ละเดือน เช่น ถ้ามีรายจ่ายเดือนละ 20,000 บาท ควรมีเงินในกองทุนนี้ประมาณ 120,000-240,000 บาท แต่อย่าฝากยอดเงินนี้ไว้ในบัญชีออมทรัพย์หรือประจำเท่านั้น เพราะจะได้ดอกเบี้ยน้อยมาก (0.25-1%)เพราะเราคงจะไม่ต้องใช้เงินก้อนนี้ แต่จะเก็บไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งถ้าวางแผนให้ดีไม่น่าจะเกิดกรณีฉุกเฉินนี้ เราจึงอาจพิจารณาฝากไว้ในรูปแบบของพันธบัตร ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของรัฐบาล ที่มีความปลอดภัยสูง และอาจให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2-4% และสามารถถอนได้ภายใน 1 วัน
เงินที่เหลือต้องเอาไปลงทุน
ที่ต้องพิจารณาก่อนอื่นเลยคือ อะไรที่ลงทุนและสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ต้องทำก่อน เช่น ประกันชีวิต ซื้อ SSF, RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนครู (รร.เอกชน) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ฯลฯ
เมื่อลงทุนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีตามสิทธิ์ที่มีแล้ว(อย่าซื้อเกินจำนวนที่ “หลวง” กำหนดให้ เพราะถ้าซื้อเกินไปจะหักภาษีส่วนเกินนี้ไม่ได้ รวมทั้งในการซื้อ SSF เราต้องถือไว้ถึง 10 ปีก่อนที่จะขายได้ส่วน RMF เราต้องถือไว้จนอายุ 55 ปี หรือถ้าซื้อตอนอายุ 54 ปี ต้องถือไว้ 5 ปี ฯลฯ) ควรพิจารณาลงทุนเพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนที่ดี อย่างปลอดภัย คือ ลงทุนในตลาดทุนแบบระยะยาว
1) กองทุน การซื้อกองทุน คือ ซื้อหุ้นนั่นเอง แต่ในการซื้อกองทุนเราสามารถซื้อได้ในปริมาณเงินที่ไม่มาก เช่น ครั้งละ 1,000 บาท กองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะดูแลการซื้อขายหุ้นให้เรา กองทุนจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีเบี้ยน้อยหอยน้อย ไม่มีความรู้มาก ไม่มีเวลาติดตาม ฯลฯ
แต่ก่อนซื้อกองทุน ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนนั้นๆ ว่าดีแค่ไหน กองทุนเอาไปลงทุนอะไรบ้าง ต้องดูย้อนหลัง 5-10 ปี ฯลฯ เมื่อพอใจจึงลงทุน ต้อง “ลงทุน” ตรงนี้ก่อนด้วยการอ่าน หาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ดูข้อมูลได้จาก Morning Star จากตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ
ต้องพิจารณาด้วยว่าเราจะซื้อกองทุนที่มีปันผลหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราต้องใช้เงินบ้างหรือไม่ ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน อาจเลือกกองทุนที่ไม่จ่ายปันผล แต่มีกำไรดี และเอากำไรนี้ไปทบต้น ถ้าคิดแบบเอากำไรไปทบต้น (compound interest ที่ Albert Einstein บอกว่ายิ่งใหญ่กว่าระเบิดปรมาณู) จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ย้อนหลัง 17 ปี ถ้าฝากไว้ 17 ปี หรือนานกว่า จะได้ค่าตอบแทนปีละ 11% การลงทุนในกองทุนหรือหุ้น ถ้าพิจารณาแต่แรกให้ดี ทางด้านพื้นฐาน การลงทุนระยะยาว เช่น 30 ปี ถ้าคิดว่าจะได้ค่าตอบแทนเพียงปีละ 10% และเอากำไรนี้ไปทบต้น ถ้าเราลงทุน 10,000 บาทต่อเดือน ภายใน 30 ปี เงิน 10,000 บาท จะกลายเป็น 174,500 บาท!และเราไม่ได้ฝากเดือนเดียว!?
และถ้าท่านขายกองทุนหรือหุ้น กำไรที่ได้จะไม่(ยังไม่)ถูกหักภาษี 10% แต่ถ้าท่านลงทุนกองทุนหรือหุ้นที่มีปันผล ท่านจะเสียภาษี 10% ของเงินปันผล นี่คือข้อดีหรือข้อเสียที่ท่านต้องพิจารณาด้วย
2) ลงทุนซื้อหุ้นด้วยตนเอง
ก่อนซื้อหุ้นด้วยตนเอง ต้องมีความรู้มากพอสมควร ทางด้านพื้นฐาน และทางด้านเทคนิค ต้องมีเวลาที่จะติดตาม และคงต้องมีเงินมากพอสมควร เพราะในการซื้อแต่ละหุ้น เราจะต้องซื้ออย่างน้อย 100 หุ้น ราคาหุ้นมีตั้งแต่ไม่ถึงบาท จนถึงหลายร้อยบาท ฉะนั้นถ้าเรามีเงินที่จะมาลงทุนเพียงเดือนละ5,000 บาท เราจะไปซื้อหุ้นที่มีราคาหุ้นละ 300 บาทไม่ได้ เช่น หุ้นปูนซีเมนต์ (SCG) ซึ่งมีราคา 360 กว่าบาทต่อ 1 หุ้น เพราะต้องซื้อ 100 หุ้น ในกรณีนี้คือ ต้องใช้เงินถึง 36,000 บาท แต่เราสามารถซื้อกองทุนได้ในราคาที่ต่ำกว่านี้ได้ เช่น เพียง 1,000 บาท
การลงทุน ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นหรือกองทุนอะไร ท่านควรพิจารณาซื้อแบบทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กัน ซึ่งวิธีนี้เรียกว่าDCA–Dollar Cost Average เช่น ท่านอยากซื้อ RMF ทั้งปี 120,000 บาท ท่านอาจสั่งซื้อทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท วิธีนี้จะเป็นการเฉลี่ยราคาของหน่วยที่ท่านจะซื้อ เช่น เดือนนี้แพง เดือนนี้ถูก น่าจะดีกว่าซื้อทีเดียว 120,000 บาท เพราะอาจจะได้ราคาที่แพง
หรือท่านอาจจะเก็บเงิน 120,000 บาทไว้ รอให้หุ้นตกก่อนแล้วจึงซื้อได้ในราคาที่ถูก (เช่นตอนนี้ 13/5/65) แต่ประเด็นมีอยู่ว่า เราไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้ว่าหุ้นจะตกหรือจะขึ้นเมื่อไหร่
ท่านอาจเลือกซื้อหุ้นที่มีปันผลดีทุกปี เช่น หุ้นธนาคารทิสโก้(Tisco 7%) หรือ Land and House (LH 5-6%) หรือซื้อหุ้นที่มีปันผลไม่มาก แต่มีการเจริญเติบโต (growth) หรือที่เรียกว่ามี capital gain คือ ซื้อ 100 บาทอีก 1-2 ปี จะกลายเป็น 120-130 บาท
อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ต้องมีการศึกษาหาข้อมูลอย่างดีเยี่ยม ซื้อหุ้นที่พื้นฐานดี และราคาต้องเหมาะสมด้วย (ต้องซื้อหุ้นที่ดีถูกเวลาด้วย คือได้ราคาที่ถูกหรือเหมาะสม) ไม่ใช่ซื้อหุ้นดี แต่ราคาแพงมาก ควรซื้อแบบถือยาว ถ้าหุ้นพื้นฐานดี ซื้อในราคาที่เหมาะสม และถือยาว ท่านจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ และจะมีความเสี่ยงน้อยมาก โดยมีค่าตอบแทนสูง และใน 20-30 ปีข้างหน้าท่านจะมีอิสรภาพทางการเงิน ไม่ต้องทำงาน คือรวยก่อนแก่
แต่ยังไปเต้นระบำแซมบ้าได้ที่ประเทศบราซิล!?
แต่การลงทุนในหุ้นนั้นควรเป็นการลงทุนระยะยาว ด้วยเงินเย็น คือ เงินที่ท่านมีเหลือกินเหลือใช้ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ใช่ไปกู้ ยืมเขามาซื้อหุ้น กองทุน เป็นเงินที่ท่านสามารถทิ้งไว้ได้เป็นสิบๆ ปีครับ
ผมอยากให้ทุกคนเอาเรื่องการลงทุน การออกกำลังกาย เป็นงานอดิเรก เช่น ในการวิ่ง/เดินทุกวัน วันละ 30-60 นาที ฟังเรื่องการลงทุนซึ่งมีให้ฟังฟรีใน YouTube, Facebook ฯลฯ
ขอให้โชคดีครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี