ผมได้เขียนเกี่ยวกับ “Holiday Heart Syndrome” ในวันอาทิตย์ที่ 25/12/2565 เพื่อเตือนพวกเราไม่ให้ดื่มแอลกอฮอล์มากไป หรือรู้จักวิธีดื่มในช่วงการฉลองปีใหม่ซึ่งจะเป็นช่วงที่พวกเราจะฉลองต้อนรับปีใหม่กับครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เรารัก ที่อาจไม่ได้พบ รวมตัวกันทั้งปี ซึ่งแน่ละจะนำไปสู่การรับประทานที่มากเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงของการทำให้หัวใจมีจังหวะการเต้นที่ผิดปกติ ที่แพทย์เรียกว่า Atrial Fibrillation หรือ AF โดยย่อ AF มีอันตรายมาก เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น stroke หรืออัมพาต อัมพฤกษ์ ฯลฯ วันนี้ผมจึงขอลงรายละเอียดเกี่ยวกับ Atrial Fibrillation
Atrial Fibrillation, AF หรือภาวะหัวใจส่วนบน (atria มี 2 ห้องatrium ซ้ายและขวา) สั่นพลิ้ว เกิดขึ้นเมื่อมีความบกพร่องของการเต้นของห้องหัวใจส่วนบน (atria) ปกติ SA node ที่ห้อง atrium ข้างขวาจะเป็นส่วนที่กระตุ้นให้หัวใจบีบตัวโดยธรรมชาติ ซึ่งในยามปกติเมื่อ SA node กระตุ้นจะปล่อยกระแสออกมาทำให้หัวใจส่วนบนทั้ง 2 ห้องบีบตัว กระแสจะไปถึง AV node ซึ่งจะกระตุ้นให้หัวใจส่วนล่างบีบตัว แต่ในกรณี AF จะมีแหล่งกำเนิดของการกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเกิดขึ้นใหม่หลายจุด ทำให้หัวใจมีการเต้นที่ผิดปกติ ทำงานไม่ได้ผล ปกติหัวใจจะเต้นประมาณ 60-100 ครั้ง แต่ในกรณีของ AF หัวใจอาจเต้นสูงถึง 175 ครั้งต่อนาที และเต้นไม่เป็นจังหวะ
AF อาจมาชั่วคราวแล้วหายไป หรือเป็นๆ หายๆ หรือเป็นตลอดเวลาการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะจะทำให้หัวใจทำงานไม่ดี ทำให้อาจมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นได้ใน atrium ซึ่งลิ่มเลือดถ้าหลุดออกไป จะทำให้มีการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด AF คือ ยิ่งสูงอายุยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็น AF เช่น AF เกิดขึ้นเพียง 0.1% ของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี,4% ในกลุ่มผู้มีอายุ 50-60 ปี, 14% ในกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 80 ปี โรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคสภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด โรคปอด โรคอ้วนโรคเบาหวาน โรคนอนกรนและหยุดหายใจ โรคไทรอยด์เป็นพิษ ดื่มแอลกอฮอล์มากไป สูบบุหรี่ การรับประทานยาบางชนิด สารเสพติด การไม่ออกกำลังกายชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง ปัจจัยเสี่ยง (นอกจากโรคต่างๆ) ที่สำคัญที่สุด คือ โรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย แอลกอฮอล์ และบุหรี่
คนเป็น AF อาจไม่มีอาการ หรืออาจรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ตุ๊บตั๊บเต้นไม่เป็นจังหวะ วิงเวียนศีรษะ มึนงง จะเป็นลม หายใจไม่ทัน หายใจถี่เจ็บอก
AF มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจล้มเหลว (heart failure) อัมพาต และสมองเสื่อม ฯลฯ
การวินิจฉัยอาจสามารถทำได้โดยแพทย์ตรวจการเต้นของชีพจร หรือหัวใจ ที่คอ หรือที่ข้อมือ ผมอยากให้ทุกๆ คนฝึกหัดคลำชีพจรที่ข้อมือ (wrist) โดยหงายฝ่ามือขึ้น เอานิ้วชี้ กลาง วางลงข้อมือที่ฐานของนิ้วโป้งจะรู้สึกว่ามีการเต้นของหลอดเลือด อยากให้ทุกๆ คนฝึกจับชีพจร และนับปกติอัตราการเต้นของชีพจรจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้ง ถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะนักวิ่งทน หรือนักกีฬา ชีพจรอาจเต้นเพียง 40-50 ครั้ง/นาที โดยทั่วๆ ไปถ้าชีพจรเต้นยิ่งช้ายิ่งดี เช่น 40-60 ครั้ง แต่ถ้าไม่เคยนับชีพจรและวัดได้ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าเป็นโรคหัวใจ หรือมีสาเหตุอะไรไหม
การวัดชีพจร ผมขอแนะนำให้ดู 2 อย่างเท่านั้น คือ ดูอัตราการเต้นของชีพจร/หนึ่งนาที และ 2.ดูว่าเต้นเป็นจังหวะไหม ถ้าท่านวัดบ่อยๆ ในยามปกติท่านจะค่อยๆ เก่งเอง ควรวัดหลังจากนั่งพัก 10 นาที (รวมทั้งถ้าจะวัดความดันโลหิตด้วย) ถ้าออกกำลังกาย เดินไปมา หลังอาหาร ชีพจรอาจเต้นเร็วขึ้น
ถ้าตรวจพบว่าชีพจรเต้นไม่เป็นจังหวะ พยายามเช็คว่าเต้นไม่เป็นจังหวะแบบไหน เช่น ง่ายที่สุดคือ เต้นไม่เป็นจังหวะเลย (completelyirregular) นี่คือ AF แต่ถ้าเต้นปกติ 3-4 ครั้ง แล้วมีชีพจรหายไป แบบนี้ไม่ใช่ AF มักจะเป็น ที่แพทย์เรียกว่า ectopic หรือsupraventricular tachycardia
ประเด็นมีอยู่ว่า ถ้าท่านตรวจพบว่าชีพจรเต้นผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ควรปรึกษาแพทย์ สังเกตด้วยว่ามันเป็นตลอดเวลาหรือเป็นๆ หายๆ วิธีการวินิจฉัยยืนยันการเต้นผิดปกติของหัวใจ คือ การทำการตรวจด้วยเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG – electrocardiogram)ในช่วงที่หัวใจเต้นผิดปกติ ถ้า AF หรือการเต้นผิดปกติของหัวใจเกิดขึ้นชั่วคราว การตรวจ ECG อาจไม่พบอะไร
การป้องกันการเกิด AF จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ด้วยการมีพฤติกรรมชีวิตที่ดี เช่น ดูแลน้ำหนักตัวเอง (BMI < 23, พุงชายหญิง < 90, 80 ซม.) ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ลดหรือไม่ดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดAF เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน ไทรอยด์ โรคนอนกรน และหยุดหายใจ ถ้าตรวจพบความดันโลหิตสูงเป็นครั้งแรก หรือตรวจพบว่ามีการเต้นผิดปกติของหัวใจ ควรนึกถึงโรคนอนกรนและหยุดหายใจด้วย
การรักษาโรค AF ขึ้นอยู่กับแพทย์ แต่ประเด็นที่ผมอยากให้ผู้อ่านทราบคือ สาเหตุของการเกิด AF (เพื่อป้องกัน) อาการ และการวินิจฉัย เพื่อที่จะทำให้เราป้องกันการเกิด AF และเมื่อเกิดไปหาแพทย์โดยเร็วหลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของแพทย์
ถึงแม้การรักษาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ แต่ผมก็ขอเรียนให้ทราบว่าการรักษาหลัก คือ การทำให้หัวใจเต้นช้าลงจนหัวใจบีบตัวได้ดี ถึงแม้ยังเป็น AF อยู่ หรือวิธีที่ทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติ ซึ่งมีทั้งยาที่ทำได้ทั้ง 2 อย่าง หรือใช้วิธีกระตุ้นด้วยเครื่องไฟฟ้า หรือวิธีทำลายจุดที่เป็นแหล่งกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวที่ผิดปกติที่ไม่ใช่ SA node etc.
และถ้ายังมี AF อยู่ แพทย์มักจะให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) หรือยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการเกิดอัมพาต ฯลฯ
หวังว่าทุกท่านจะได้รับความรู้พอสมควรนะครับ ฝึกจับชีพจรไว้นะครับ
กันไว้ดีกว่าครับ แต่ถ้าเป็นแล้วรีบไปพบแพทย์ครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี