Climate change (climate คือ ภูมิอากาศ change การเปลี่ยนแปลง) หรือ global warming (global คือ โลก warming คือ ร้อน) เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพมนุษย์เป็นอันดับที่หนึ่งในช่วงร้อยปีนี้ตามความเห็นของสหประชาชาติ (UN) และองค์การอนามัยโลก (WHO)
อุณหภูมิของโลกขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และจากมนุษย์ จากธรรมชาติ คือ ไฟป่า ภูเขาไฟระเบิด จากมนุษย์และสัตว์ที่ปล่อยก๊าซ carbon dioxide (จากลมหายใจ) และ methane (ลมหายใจและผายลม) ออกมาตามลำดับ ต้นไม้ที่ดูดซึม carbon dioxideและปล่อย oxygen ออกมา ฯลฯ อุณหภูมิโลกได้อยู่คงที่มานานพอสมควร แต่อุณหภูมิได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอุณหภูมิที่เป็นอยู่ก่อนที่จะมีการเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรม(pre industrial revolution ประมาณ ค.ศ.1750-1850) ปัจจุบันนี้อุณหภูมิได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสจากก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งนี้เนื่องมาจากการกระทำของมนุษย์ ด้วยการค้นพบและใช้พลังงานจาก fossils คือ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซตามลำดับความสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานจาก fossils จะเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases, GHG) เช่น carbon dioxide และ methane ฯลฯ ออกมาสู่อากาศ ซึ่ง GHG เหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนผ้าห่มโลก คือ จะเก็บความร้อนที่มาจากแสงอาทิตย์ไว้ ทำให้โลกทั้งโลก เช่น พื้นดิน ทะเล บรรยากาศ ร้อนขึ้น GHG เกิดจากการใช้ถ่านหิน น้ำมันก๊าซ และจากการตัดไม้ทำลายป่า กองขยะฯลฯ การปล่อย GHG ส่วนใหญ่จะมาจากการใช้พลังงาน อุตสาหกรรม คมนาคม เกษตร การกำจัดขยะ ไฟป่า การเผาไร่ ฯลฯในการประชุมของประเทศต่างๆ ที่ Paris ค.ศ.2015 ได้ตกลงกันว่าจะพยายามไม่ให้โลกร้อนขึ้นกว่า 2 องศาเซลเซียส และถ้าเป็นไปได้ไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของการที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นต่อโลกให้ไม่เลวเกินไปนัก
โลกมีระบบที่โยงกันไปทั้งโลก ไม่ว่าใคร ประเทศไหน จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก จะส่งผลกระทบต่อทั้งโลก ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ มีน้ำท่วม น้ำแล้ง พายุ ไฟป่าความร้อนที่ร้อนจัด หนาวจัด ที่รุนแรงมากขึ้น พบบ่อยและนานขึ้นน้ำทะเลจะสูงขึ้นจากการที่มีการละลายของน้ำแข็ง ธารน้ำแข็ง permafrost(ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่จะปล่อยก๊าซ methane และจุลินทรีย์ต่างๆออกมาทำให้เกิดโรค) ทำให้เกิดการสูญเสียของระบบนิเวศ มีผลต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ พืชผักต่างๆ มีผลกระทบแก่ที่อยู่อาศัย การทำงานโดยจะมีผลต่อผู้ที่เปราะบางมากที่สุด คือ เด็ก เยาวชน ผู้หญิง ผู้สูงอายุผู้ที่มีโรคประจำตัว ชนกลุ่มน้อย ผู้ยากจน ประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้ง small islands developing states (SIDS) ที่ประเทศอาจจมหายไป ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน ไม่มีอาหาร ไม่มีงาน แล้งมาก น้ำท่วม ฯลฯ
ถ้าปล่อยไปแบบปัจจุบัน อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นถึง 4.4 องศาเซลเซียส ภายใน 2100
100 ประเทศที่ปล่อย GHG น้อยที่สุด ปล่อยออกมาเพียง 3% ของ GHG ที่มีการปล่อยทั้งหมด แต่ 10 ประเทศที่ปล่อย GHG มากที่สุด (เช่น จีน อเมริกา อินเดีย รัสเซีย ยุโรป บราซิล ฯลฯ) ปล่อยออกมาถึง 68% ของ GHG ทั้งหมด ฉะนั้นประเทศที่ปล่อย GHG ออกมามากๆ ควรต้องบริจาคเงินเพื่อการต่อสู้กับ Climate Change มากที่สุด
ฉะนั้นทุกประเทศจะต้องพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการลดการใช้พลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซ รวมทั้งต้องใช้พลังงานอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และหันมาใช้พลังงานที่ยั่งยืนแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และความร้อนใต้พิภพ ฯลฯ ปัจจุบันนี้การติดตั้งเครื่องสร้างพลังงานจากแสงอาทิตย์ (solar) ยังมีราคาสูงอยู่ ถึงแม้จะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ รัฐบาลต้องสนับสนุนการใช้พลังงานที่ยั่งยืน ถ้าทุกๆ คน ทุกๆ บ้าน ทุกๆ องค์กร หันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ราคาการติดตั้งจะลดลงอย่างมาก ควรมีระบบที่จะเอาพลังงานแสงอาทิตย์จากแต่ละบ้าน บริษัท สถาบัน ฯลฯ เข้าสู่ระบบกลางและเบิกใช้ หรือใช้แล้วถ้าเหลือ สามารถส่งต่อ (ขาย) ให้การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ควรพิจารณาการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจาก nuclear ต้องดูข้อดี ข้อเสีย โดยเฉพาะความปลอดภัย การผลิตพลังงานจากน้ำ เช่น เขื่อน ซึ่งอาจเป็นเขื่อนเล็กๆ หลายๆ เขื่อน โดยต้องพิจารณาข้อดี ข้อเสียเช่นกัน ของส่วนรวมต้องไม่มีประโยชน์ส่วนตนหรือของพรรคพวก พลังงานจากน้ำจะถูกที่สุด และยังจะสามารถช่วยลดสภาวะน้ำท่วมน้ำแล้งด้วย เราต้องมี “แก้มลิง” หรือที่เก็บน้ำตลอดทั่วประเทศ จากเหนือจรดใต้เพื่อพยายามเก็บน้ำฝนไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันน้ำท่วมและป้องกันการขาดน้ำในหน้าร้อน หรือในยามที่แห้งแล้ง นอกจากมีที่เก็บน้ำทั่วประเทศแล้ว เราควรที่จะมีสายทางเดินน้ำอย่างด่วน คือ fast track หรือเส้นทางให้น้ำที่ “ท่วม” หรือมาก ไหลลงสู่ทะเลมากที่สุดและเร็วที่สุด
เท่าที่ทราบเราเก็บเพียง 1-3% ของน้ำฝนที่ตก ที่เหลือไหลลงสู่ทะเลไปเปล่าๆ หลังจากที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ประเทศ ฝนตกปีละประมาณ 7-8 แสนล้านลูกบาศก์เมตร และในปัจจุบันนี้มีความแปรปรวนของน้ำฝนที่ตกเป็นอย่างมาก หรือถึง 24% และจาก 7-8 แสนล้านลูกบาศก์เมตร ที่ตกลงในเขื่อนมีประมาณเพียง 5.7% เท่านั้น (ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล)
ยังมีต่อครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี