ทำไมคนบางคนมีสุขภาพที่ดีมาก ไม่เป็นโรคอะไร ไม่เป็นโรคเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง ทั้งๆ ที่กินทุกอย่างที่ไม่ดีและแทบไม่ออกกำลังกาย แต่คนบางคนเป็นทุกอย่าง ความดัน ไขมัน เบาหวาน ทั้งๆ ที่คุมอาหาร ออกกำลังกายพอสมควร
ในความเห็นของผม การที่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับ 2 อย่าง คือ พรสวรรค์ และพรแสวง เหมือนนักกีฬา ถ้าเราเกิดมาไม่เป็นโรคอะไรตั้งแต่เกิด ถือว่าโชคดีพอสมควร หลังจากนี้จะมีสุขภาพที่ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเรา แต่ถ้าเรามียีนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ได้ เราก็ยังอาจที่จะมีโรคต่างๆ เกิดขึ้นได้ภายหลัง เช่น โรคความดันโลหิต ไขมัน เบาหวาน มะเร็ง ฯลฯแต่เกิดมาไม่พิการ คุณหมอตรวจร่างกายเด็ก ไม่พบโรคอะไร เช่น หัวใจ ก็ถือว่า so far so good ถือว่าโชคดีมากแล้ว ต่อไปนี้ก็อยู่ที่เรา - ตอนเด็กๆ คงอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ คุณหมอมากกว่า -เช่น ให้เรากินนม (หรือมีนมแม่ให้กิน) แม่อย่างเดียวหรือเปล่า 6 เดือนแรก และหลัง 6 เดือนแรก ยังให้เรากินนมแม่จนถึงอายุ 2 ปีหรือเปล่า ถึงแม้จะต้องกินอาหารเสริมอื่นๆ ด้วย สอนให้เราชอบกินผัก ปลา ออกกำลังกายตั้งแต่เด็กหรือไม่ สอนให้เราไม่กินเค็ม หวาน มัน หรือไม่ ฯลฯ
30% ของสุขภาพอยู่ที่กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม หรือยีนต่างๆว่า ร่างกายเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ ไหม ผมเองมีความเห็นส่วนตัวว่า เมื่อไหร่ที่ความรู้ทางด้าน genetics หรือยีนอยู่ตัวแล้วสปสช. ฯลฯ อาจตรวจเลือดทุกๆ คนดูว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไรบ้าง จะได้เน้นการป้องกันทางโรคต่างๆ นี้ ฯลฯ
อีก 70% ของการมีสุขภาพดีหรือไม่ดี อยู่ที่พฤติกรรมเราและสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมเราที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ คือ การกินอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ การตรวจสุขภาพ การตรวจคัดกรองหาโรคต่างๆ หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเรา เราเท่านั้นที่จะช่วยป้องกัน ลดความเสี่ยงต่างๆ องค์การอนามัยโลกมีข้อมูลว่า74% ของการเสียชีวิตของชาวโลกมาจากโรคที่ไม่ติดต่อ หรือ non communicable diseases, NCDs ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ดีของเราที่ทำมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ โรค NCDs เป็นโรคที่ป้องกัน ลดความเสี่ยง ได้ ถ้าเรามีความรู้และมีวินัย เราทุกๆ คนในปัจจุบันนี้สามารถหาความรู้ได้ไม่ยาก แต่การมีวินัยอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ยากมาก เช่น การออกกำลังกายที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง การไม่กินเค็ม หวาน มัน ฯลฯ
แต่ก็ยังมีปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมอีกมาก ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรา แต่เราสามารถลดปัญหา(mitigate) และปรับตัว (adapt) ได้บ้าง ตัวอย่างของปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม คือ สภาวะ climate change หรือสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น-global warming-ซึ่ง climate change นี้จะมากับสภาพอากาศเป็นพิษ หรือ Air Pollution
Climate Change เกิดขึ้น เนื่องมาจากมนุษย์ค้นพบพลังงานจาก fossils คือ ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซ ซึ่งการเผาผลาญพลังงาน fossils นี้ จะทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (green house gases, GHGs) เช่น CO2, methane ฯลฯ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนผ้าห่ม ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น และทำให้มีมลพิษในอากาศ ถ้าอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นมากๆ มนุษย์ สัตว์ พืช ระบบนิเวศ โลกก็จะอยู่ไม่ได้ ประเทศต่างๆ ในโลกจึงได้ตกลงกันที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.2015 ว่าจะพยายามช่วยกันทั้งโลก ไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2 0C เมื่อเปรียบเทียบกับอุณหภูมิโลกก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม (ในปี ค.ศ.1750-1850) ซึ่งปัจจุบันนี้ได้สูงขึ้นไปแล้ว 1.1 0C และถ้าเป็นไปได้ไม่ควรให้สูงกว่า 1.5 0C
แต่ถึงแม้พวกเรา มนุษย์ ประชาชนไม่ได้เป็นคนปล่อย GHG เป็นส่วนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ GHG มาจากภาคพลังงาน อุตสาหกรรม ขนส่ง ครัวเรือน ภาคเกษตร ป่า ภาคของเสีย ฯลฯ แต่เราแต่ละคนและทุกคนสามารถช่วยลดปัญหาของ Climate change และ Air pollution ได้ ด้วยการปฏิบัติตนเองในชีวิตประจำวันที่จะช่วยลดการใช้พลังงาน ฯลฯ ได้ เช่น ปิดไฟ ปิดแอร์ เมื่อไม่อยู่ในห้อง ถ้าจะซื้อรถ ซื้อรถไฟฟ้า ไม่กินเนื้อวัว หรือสัตว์ใหญ่เพราะการเลี้ยงวัวจะต้องตัดไม้ ทำลายป่า เพื่อหาที่เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ผัก เพื่อเป็นอาหารสัตว์ มีข้อมูลจาก Our World in Data ว่า ถ้ามนุษย์ในโลกนี้หันจากการกินอาหารต่างๆ ในปัจจุบันมากิน plant base diet แทน จะลดพื้นที่เพื่อการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ลงถึง 75% คือ จากการใช้พื้นที่ 4,000 ล้าน hectares (1 hectare คือ 6 ไร่ 1 งาน หรือ 2,500 ตารางวา) ลงเหลือ 1,000 ล้านhectares เท่านั้น ซึ่งจะทำให้โลกเรามีพื้นที่ป่า ต้นไม้อีก 3,000 ล้านhectares ที่จะดูดซึม CO2 และปล่อย O2 ออกมาแทน
นอกจากนั้น วัวยังเรอและผายลมออกมาเป็น methane ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
การกิน plant based diet จะดีต่อทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช ระบบนิเวศ และโลกเองด้วย
ยังมีวิธีการต่างๆ อีกมากมายที่มนุษย์เราแต่ละคนจะช่วยลด ป้องกันโลกร้อนและอากาศเป็นพิษ
แต่หลักๆ ของการมีสุขภาพที่ดีนั้น Hippocrates บิดาทางการแพทย์ชาวกรีก ได้กล่าวไว้ 2,500 กว่าปีแล้วว่า การดูแลสุขภาพที่ปลอดภัยที่สุด คือ “การออกกำลังกายและทานอาหารที่ถูกต้องอย่างพอเหมาะ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป”
เป็นคำกล่าวที่อมตะจริงๆ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี