ผมมีความเห็นมานานแล้วว่า การศึกษา(ที่ดี) เป็นการสร้างคนและคนจะไปช่วยกันสร้างชาติ สำหรับผม ทรัพยากรชาติที่สำคัญที่สุดคือ คน แต่ถ้าชาติมีคนที่ดี มีคุณภาพ และมีทรัพยากรธรรมชาติด้วย ประเทศนั้นจะยิ่งไปโลด
ดูอย่างประเทศสิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฯลฯ ประเทศต่างๆ เหล่านี้แทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเลย แต่คนเขามีคุณภาพ ประเทศเหล่านี้จึงเป็นประเทศที่พัฒนาได้ดีมาก ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงทุ่มกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ความสามารถ เท่าที่ผมมี พยายามสร้างคนที่มีคุณภาพขึ้นมา ใกล้ตัวที่สุดก็คือ แพทย์ที่เรียนระบบทางเดินอาหาร ที่จุฬาฯ ตามด้วยแพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 ที่ผ่านภาควิชาอายุรศาสตร์ ที่ผมสอนมาทุกเช้าจนอายุ 80 ปี และนิสิตแพทย์ แพทย์อื่นๆ และประชาชน ที่ผมได้รับเกียรติเชิญให้ไปสอน ให้เป็นคนดี ที่ต้องพยายามเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้เรียนมากๆ ทำ PhD ถ้ามีโอกาส ผมเป็นคนที่มีส่วนทำให้ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยออกกฎให้แพทย์ประจำบ้านต้องทำ - สมัยแรกๆ - topic review หรือทำงานวิจัย แต่ปัจจุบันนี้เหลือแต่งานวิจัยแล้ว และออกกฎให้แพทย์ประจำบ้านต่อยอดของสาขาอายุรศาสตร์ จุฬาฯ ต้องทำ MSc (ปริญญาโท ทางด้านการวิจัย) เนื่องจากผมเห็นว่าบ้านเรายังทำงานวิจัยน้อยมาก
ผมอยากให้ลูกศิษย์เรียนมากๆ มีประสบการณ์มากๆ เป็นทั้งคนดี ที่เก่ง รอบรู้ จึงคิดส่ง Fellow หรือแพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขาระบบทางเดินอาหาร ไป elective ที่ต่างประเทศ ตั้งแต่รุ่น 2 จนบัดนี้ รุ่น 31 (ยกเว้นช่วงโควิด-19)
ผมจึงพยายามให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่ด้อยโอกาสมากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ ผมสอนลูกศิษย์-ให้ข้อคิดเสมอว่า-เราเกิดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ดีเพราะใคร ตัวเราเองได้ลงทุนอะไรไปบ้างกว่าจะมานั่งอยู่ตรงหน้าผม (แพทย์ประจำบ้าน ภาควิชาอายุรศาสตร์ ปีที่ 2 อายุประมาณ 26-28 ปี) เช่น เกิดมามีสมอง ไม่พิการ หล่อเหลา สวยเอาการ มีข้าวกิน มีโอกาสเรียน เป็นการลงทุนของเขาเองหรือเปล่า?เปล่าเลย!? เป็นเพราะเทวดาให้มา (มีสมอง ไม่พิการ) และคุณพ่อคุณแม่ให้มา ตัวคุณหมอเองลงทุน(บ้าง)ด้วยการตั้งใจเรียนเท่านั้นเอง ผมจึงถามว่า ขอให้คุณหมอลงทุนเองบ้างได้ไหม? ด้วยการเป็นคนดี และเมื่อสบายแล้ว มีโอกาสดี ฐานะดี ช่วยเหลือคนอื่นที่ยากไร้ ที่ไม่มีโอกาสดีเท่าเรา ได้ไหม อย่างที่เขาไปนอกช่วง elective ผม(และหน่วย)เป็นคนคิด หางบประมาณส่งให้เขาไปนอกคนละเป็นแสนสองแสนบาท เพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ทางด้านวิชาการ ภาษา ความเชื่อมั่น สายสัมพันธ์ ฯลฯ กับเพื่อนๆ ชาวต่างประเทศ
เมื่อเขาสบายแล้ว อยากให้เขาช่วยคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเขาบ้าง ลูกศิษย์หลายคนพอตั้งตัวได้ก็กรุณาบริจาคเงินให้หน่วย ให้คณะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
ด้วยเหตุนี้เองหลายปีมาแล้ว ผมอ่านพบเกี่ยวกับกองทุน กสศ.ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post จึงติดต่อไปและได้ช่วยบริจาคให้กองทุน โดยแนะนำให้ภรรยา ลูกๆ ร่วมบริจาคด้วยและยังเขียนลงหนังสือพิมพ์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ท่านผู้อ่านทราบ เผื่อท่านที่สบายแล้วจะกรุณาช่วยบริจาคให้กองทุนบ้าง
ล่าสุดผมเพิ่งได้รับข้อมูลจาก กสศ. พบว่ามีเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาตั้ง 1,025,514 คน (ช่วงอายุ 3-18 ปี) ทั่วประเทศ แม้แต่ใน กทม.เองยังมี 137,704 คน โดย 7 สาเหตุ คือ ความยากจน 46.70%, ปัญหาครอบครัว 16.14%, ถูกผลักออก 12.03%, ไม่ได้รับสวัสดิการด้านการศึกษา 8.88%, ปัญหาสุขภาพ 5.91%, อยู่ในกระบวนการยุติธรรม 4.93%, ได้รับความรุนแรง 3.63%
และผู้ปกครองส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมมากที่สุด คือ 42.67%, ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่มีงานประจำ รับจ้างรายวัน47.11%, มีงานประจำ 27.95%, ค้าขาย 12.75%, ว่างงาน 12.10%, ก่อสร้าง 8.27%, พนักงานโรงงาน 4.48%, งานบริการ 1.80%, ช่างไม้/ช่างฝีมือ 1.19% และไม่ระบุอาชีพ 12.83%
ผมจึงอยากเรียนเชิญท่านผู้อ่านทุกๆ คน ครอบครัว และเพื่อนฝูงที่สบายแล้ว โปรดกรุณาพิจารณาบริจาคเงินให้ กสศ. เท่าที่ท่านจะสามารถทำได้ อาจจะเป็นร้อยบาท พันบาท หมื่นบาท จะสามารถนำไปลดหย่อนการเสียภาษีได้ 2 เท่า ผมอยากให้ทุกๆ คนที่สบายแล้วพิจารณาบริจาคให้โรงเรียน คณะ สถาบันเก่าของท่านเพื่อมีส่วนช่วยทำให้เด็กๆ น้องๆ ต่างมีโอกาสที่ดีที่จะทำให้เขาเหล่านั้น สามารถช่วยตนเองได้ในอนาคต
ท่านที่สนใจที่จะบริจาค กรุณาติดต่อได้ที่ :-
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี