ทีดีอาร์ไอ เผยแพร่ผลการวิจัยเรื่อง “การทุจริตกรณีศึกษา : โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด” โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ ไว้ในเว็บไซต์ของทีดีอาร์ไอ ที่https://tdri.or.th/2015/08/corruption-in-the-paddy-pledging-scheme/ มีข้อมูลที่อ่านแล้วต้องยกมือทาบอก แล้วอุทานว่า อุแม่จ้า!! มันโกงกันขนาดนี้เลยรึ? มันทุ่มเทสมองเพื่อออกแบบวิธีโกงกันอย่างหนักเช่นนี้เลยรึ
โดยงานวิจัยแบ่งหัวข้อไว้น่าสนใจมาก คือ การทุจริตในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ล้อไปกับคำพูดติดปากอดีตนายกฯหญิงคนแรกของไทย
เนื้อหาตอนหนึ่งบอกว่า “...การทุจริตในสองขั้นตอนแรกมักจะเป็นการทุจริตของเกษตรกรบางคน โรงสีบางแห่ง เจ้าของโรงสีกับ เซอร์เวย์เยอร์บางราย และโกดังบางแห่ง ยกเว้นขบวนการลักลอบนําข้าวจากโรงสีไปขายก่อน ซึ่งที่ต้องอาศัยอํานาจทางการเมืองของผู้มีอิทธิพลทางการเมือง การทุจริตสองขั้นตอนแรกจึงเป็นการทุจริตขนาดเล็ก
(แต่เมื่อรวมมูลค่าการทุจริตทั้งหมดอาจมีมูลค่าสูงมาก)
ส่วนการทุจริตในการระบายข้าว เป็นการทุจริตที่ต้องอาศัยอํานาจการระบายข้าว ซึ่งเป็นอํานาจของรัฐมนตรีและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นมูลค่าการทุจริตจะมีมูลค่ามหาศาล เพราะรัฐบาลมีข้าวสารอยู่ในมือกว่า 35 ล้านตันข้าวสาร การทุจริตในการระบายข้าวจึงเป็นการทุจริตที่สําคัญที่สุด และเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักการเมืองผู้มีอํานาจ...”
รูปแบบการทุจริตในการระบายข้าวมี 3 รูปแบบ ได้แก่
• การทุจริตที่เกิดจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (government to government sale หรือ G-to-G)
• การทุจริตในการขายข้าวให้ผู้เสนอราคาซื้อแบบลับๆ
• การทุจริตในโครงการข้าวถุงราคาถูกของกระทรวงพาณิชย์
การทุจริตทั้งสามรูปแบบ มีวิธีการทุจริตที่เหมือนกัน คือ รัฐบาลขายข้าวให้ผู้ซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดค่อนข้างมาก จากนั้นผู้ซื้อ ก็นําข้าวดังกล่าวไปขายต่อให้พ่อค้าส่งออก หรือพ่อค้าข้าวถุงในราคาตลาด (ราคาขายส่ง) ทํากําไรมหาศาลให้กับผู้มีสิทธิ์ซื้อข้าวจากรัฐบาล เพียงแต่วิธีการขายทั้งสามรูปแบบแตกต่างกัน
1) ในกรณีจีทูจี รัฐบาลจะปิดบังข้อมูล ทั้งปริมาณขายและราคาที่ขายให้บริษัทหรือพ่อค้าบางราย โดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้า
การอภิปรายไม่ไว้วางใจของ สส. วรงค์ เดชกิจวิกรม (2557) พบหลักฐานว่าบริษัทจีนผู้ทําสัญญาซื้อแบบ G-to-G จากรัฐบาลไทย จดทะเบียนในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทค้าเฟอร์นิเจอร์สํานักงาน และไม่มีใบอนุญาตค้าข้าวในประเทศไทย แต่บริษัทมีคนไทยเป็นตัวแทนผู้มีอํานาจ ตัวแทนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองในพรรครัฐบาล นอกจากนั้นหลักฐานการจ่ายเช็คให้กับกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นเช็คจากคนไทยผู้รับมอบอํานาจจากบริษัทผู้ซื้อ และเส้นทางการเงินของบริษัทดังกล่าว ทําให้สส. วรงค์สรุปว่า สัญญาดังกล่าว ไม่ใช่การซื้อขายแบบจีทูจีแต่บริษัทผู้ซื้อนําข้าวมาขายในประเทศ
อย่างไรก็ตามรัฐบาล (ทั้งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และนายกรัฐมนตรี) ต่างก็ยืนยันว่ามีการขายข้าวแบบจีทูจีถึง 1.76 ล้านตัน ในระหว่างปี 2555 และมีสัญญาจะขายข้าวเป็นจํานวน 7.3-8 ล้านตัน ในปี 2555-2556
แท้จริงแล้ว การขายแบบรัฐต่อรัฐจํานวน 7.3-8 ล้านตันไม่มีจริง แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตของผู้มีอิทธิพลทางการเมือง โดยอาศัยข้ออ้างว่าการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐต้องเป็นความลับทางการค้า จึงไม่สามารถเปิดเผยปริมาณ และราคาขายที่ตกลงกับรัฐบาลผู้ซื้อได้
แต่แท้ที่จริงแล้ว ข้าวส่วนใหญ่มิได้ขายให้แก่รัฐบาลต่างประเทศ แต่เป็นการขายให้ผู้ประกอบการในประเทศ วิธีการทุจริต คือ นายหน้านักการเมืองจะเป็นผู้เดียวที่สามารถขอซื้อข้าวราคาถูกจากรัฐบาล เพื่อนําไปขายให้แก่พ่อค้าข้าว แต่รัฐบาลปิดบัง “ราคาขาย”
ในระยะแรก ผู้ซื้อเอกชนจะต้องจ่ายเช็คให้แก่ตัวแทนของนายหน้า แต่เมื่อนายวรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ไม่มีการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐจริง และพบหลักฐานการจ่ายเช็คให้ตัวแทนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายหน้าและนักการเมืองบางคน นายหน้าดังกล่าวก็เปลี่ยนให้ผู้ซื้อข้าวจ่ายแคชเชียร์เช็คโดยตรงให้แก่กรมการค้าต่างประเทศ
อนึ่ง จากการสัมภาษณ์อดีตเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศที่เคยทําธุรกรรมด้าน G-to-G ยืนยันว่า ถึงแม้ในบางครั้งรัฐบาลไทย (หรือรัฐบาลต่างประเทศ) จะขอให้บริษัทเอกชนช่วยเป็นธุระจัดการ เช่น การปรับปรุงคุณภาพข้าว การขนส่ง ฯลฯ แต่ถ้าเป็นการค้าแบบ G-to-G กระทรวงพาณิชย์ต้องได้รับเงินชําระโดยตรงจากรัฐบาลผู้ซื้อเท่านั้น
หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์ในเดือนพฤศจิกายน 2555 พฤติกรรมการทุจริตในการระบายข้าวก็เปลี่ยนไป แทนที่นักการเมืองจะตั้งบริษัทตัวแทนมาเป็นคู่สัญญาการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ รัฐบาลก็พยายามนําเอารัฐวิสาหกิจระดับมณฑลของจีน เช่น บริษัทเป่ยต้าหวง กรุ๊ป 11 มาเป็นคู่สัญญากับรัฐบาล ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริง รัฐวิสาหกิจที่ได้รับโควตาการนําเข้าข้าวจากรัฐบาลจีนมีเพียง บริษัทเดียว คือ บริษัท COFCO12
เนื่องจากการตั้งบริษัทตัวแทนมาเป็นคู่สัญญากับกรมการค้าต่างประเทศเริ่มถูกฝ่ายค้านเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด ฝ่ายการเมืองและบริษัทนายหน้าจึงเริ่มใช้วิธีการขายข้าวโดยตรงให้ผู้ส่งออกข้าวและพ่อค้าขายส่งข้าวถุง
วิธีการ คือ นายหน้ากับผู้ซื้อ จะตกลงราคาและปริมาณรับซื้อกัน เช่น ผู้ซื้อต้องการซื้อข้าว 3,000 ตัน ในราคาตันละ 15,000 บาท คิดเป็นเงิน 45 ล้านบาท ผู้ซื้อต้องจ่ายเช็คให้กับทางราชการ 45 ล้านบาท และนายหน้าจะสั่งให้ผู้ซื้อไปรับข้าวจากโกดังกลางของอคส.หรือ อ.ต.ก. จํานวน 3,000 ตัน แต่นายหน้าจะใช้อิทธิพลการเมืองซื้อข้าว (ในนามของบริษัทผู้ซื้อ) ในราคา 12,000 บาทต่อตัน จํานวน 3,750 ตัน ฉะนั้น นายหน้าจะได้ข้าวฟรีจากโกดังกลางของรัฐบาล 750 ตัน ข้าวฟรีจํานวนนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกนําไปส่งคืนโกดังกลางแทนข้าวสารจากโรงสีในเครือข่ายที่ร่วมมือกับนายหน้าแอบนําไปขายก่อน ข้าวส่วนที่เหลือก็สามารถนําไปขายให้ผู้ส่งออกหรือพ่อค้าขายส่งข้าวถุงได้
จากการสัมภาษณ์ผู้ซื้อข้าวจากนายหน้า ผู้ซื้อที่เป็นผู้ส่งออกบอกว่า ตนได้รับคําสั่งจากนายหน้าให้ไปรับข้าวจํานวนที่ตกลงกันที่โกดังกลาง และเขียนเช็คให้กรมการค้าต่างประเทศ แต่ตนไม่ทราบว่านายหน้าไปรับข้าวที่เหลือจํานวนเท่าไร
2) การทุจริตรูปแบบที่สองคือ การขายข้าวให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อ
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2555 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2557 มีการขายข้าวด้วยวิธีดังกล่าวถึง 5.7 ล้านตัน แต่พ่อค้าส่งออกบางรายให้สัมภาษณ์แก่ผู้วิจัยว่า รัฐบาลอนุมัติขายข้าวให้เฉพาะแก่ผู้ซื้อบางรายที่ให้การสนับสนุนนโยบายรับจํานําข้าว เช่น บริษัทซีพีอินเตอร์เทรด จํากัด (ดูคําให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารบริษัท ซีพีอินเตอร์เทรดใน The Nation ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2556) ยิ่งกว่านั้นมีกระแสข่าวว่าผู้เสนอซื้อข้าวบางรายต้องเสนอซื้อผ่านนายหน้าผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
โดยสรุปก็คือ การขายข้าวแบบนี้เป็นการขายข้าวแบบไม่โปร่งใส โดยรัฐบาลจะขายข้าวให้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่ากระทรวงได้ขายข้าวให้ใคร ในปริมาณ และราคาเท่าใด
หลักฐานเรื่องการขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด คือ เงินรายได้จากการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ส่งคืนใช้หนี้ให้แก่ ธ.ก.ส. กับตัวเลขปริมาณการระบายข้าวตลอดสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ (หรือ 16.37 ล้านตัน ดังนั้น ราคาข้าวที่รัฐบาลขายได้จึงเฉลี่ยเพียงตันละ 11,122.9 บาท เทียบกับราคาขายส่งของข้าวสารทุกชนิดในโครงการรับจํานํา 17,809.6 บาท ต่อตัน ในระหว่างเดือนตุลาคม 2554 ถึงตุลาคม 2556 และ 15,190.45 บาทต่อตัน ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2556 ถึงเมษายน 2557
3) การทุจริตแบบที่สาม คือ นโยบายการขายข้าวถุงราคาถูก พฤติกรรมการทุจริตมีดังต่อไปนี้
การจัดทําข้าวถุงราคาถูก เป็นวิธีหนึ่งในวิธีการระบายข้าวจากโครงการรับจํานําของรัฐบาล โดยมติของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) อนุมัติให้มีการจัดทําข้าวถุงราคาถูกชนิดถุงละ 1 และ 5 กิโลกรัม จํานวน 2.5 ล้านตัน โดยแบ่งการอนุมัติเป็น 4 รอบ แต่ละรอบมีการอนุมัติต่างกัน เริ่มตั้งแต่ 1 แสนตัน ไปจนถึงรอบละ 1.8 ล้านตัน ปรากฏหลักฐานว่าการอนุมัติเพื่อจัดทําข้าวถุงเป็นรอบๆ นั้น แต่ละรอบยังไม่สามารถดําเนินการจนแล้วเสร็จก็มีการอนุมัติรอบใหม่เพิ่มขึ้นตลอด
การศึกษาของ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ของวุฒิสภา สอบสวนพบว่า การทุจริตในโครงการข้าวถุงราคาถูก มีการดําเนินงานดังต่อไปนี้
ในการจัดทําข้าวถุงราคาถูก อคส. ต้องว่าจ้างโรงสีรวม 6 ราย ให้ปรับปรุงสภาพข้าว แบ่งบรรจุและขนส่งไปยังร้านค้าในโครงการ โดยส่วนหนึ่ง อคส. ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนอีกสามรายเข้ามารับหน้าที่ระบายข้าวถุง บริษัทเอกชนเหล่านั้นซื้อข้าวถุงจาก อคส.
ในราคา 65.6 บาทต่อถุง 5 กิโลกรัม เพื่อนําไปส่งมอบให้กับร้านค้าในโครงการ และให้ร้านค้าในโครงการขายในราคาไม่เกิน 70 บาทต่อถุง 5 กิโลกรัม
การทุจริตเกิดขึ้นภายหลังการปรับปรุงสภาพ โรงสีต้องส่งมอบข้าวให้กับ อคส. แต่ในความเป็นจริงแล้ว อคส.ไม่ได้รับข้าวจํานวนนี้ทั้งหมดมาไว้ที่คลังของตนเอง ส่วนใหญ่ยังฝากไว้ที่คลังของผู้ปรับปรุง แต่ให้ผู้รับจ้างระบายไปรับข้าวจากผู้ปรับปรุง นําข้าวถุงไปกระจายให้ร้านค้าต่างๆ
คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบการระบายข้าวถุง ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ตรวจสอบพบว่า บริษัทที่รับจ้างระบาย ได้ทําสัญญาขายสิทธิ์ในการรับจ้างให้กับโรงสีผู้รับจ้างปรับปรุงทันที และมีกรณีที่บริษัทรับจ้างระบายให้ปากคําต่อคณะอนุกรรมาธิการว่า ตนเอาเงินของโรงสีที่รับจ้างปรับปรุงมาจ่ายเป็นค่าข้าวถุงให้แก่ อคส. บริษัทรับจ้างระบายข้าวถุง จึงไม่ได้รับข้าวออกจากโกดังของผู้ปรับปรุง ข้าวจํานวนนี้จึงไม่ได้นําออกสู่ตลาดในนามของข้าวถุงราคาถูก แต่ถูกนําบริษัทปรับปรุงข้าวไปขายในรูปของข้าวถุงราคาปกติทั่วไปของโรงสีบางแห่งที่รับจ้างปรับปรุงข้าว
ความเสียหายที่เกิดขึ้น คือ รัฐบาลขายข้าวจํานวนนี้ให้กับโรงสีผู้ปรับปรุงในราคา 65.60 บาท โดยที่จ่ายเงินค่าจ้างปรับปรุง 22.6-26 บาทต่อถุง ให้กับผู้ปรับปรุง เท่ากับผู้ปรับปรุงสามารถซื้อข้าวได้ในราคา 8.32 บาทต่อกิโลกรัม และยังได้รับเงินค่าปรับปรุงอีกต่อหนึ่ง แต่กลับนําข้าวส่วนใหญ่ไปขายในราคาตลาดที่สูงถึง 17-18 บาท ต่อกิโลกรัม ทํากําไรเข้ากระเป๋าเกือบ 100% แน่นอนว่ากําไร บางส่วนคงต้องแบ่งสันปันส่วนให้นักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลัง
คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบการระบายข้าวถุง ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ได้เชิญผู้ประกอบการที่ดําเนินงานระบายข้าวให้กับ อคส. มาให้ข้อมูลที่รัฐสภา โดยมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า บริษัทเอกชน 3 ราย ที่เข้ามารับหน้าที่ระบายข้าวถุงให้รัฐบาล คือ บริษัท ร่มทอง จํากัด, บริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง จํากัด และบริษัท สยามรักษ์ จํากัด ไม่ได้ทําธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องข้าวแต่อย่างใด
บริษัท ร่มทอง จํากัด และบริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง จํากัด มีหลักฐานการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าทําธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เคยทําธุรกิจค้าข้าว มีผลการดําเนินงานขาดทุนติดต่อกัน 2 ปี ส่วนบริษัท สยามรักษ์ จํากัด ทําธุรกิจดอกไม้แห้ง แต่มีความสัมพันธ์กับเลขานุการรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ซึ่งเคยนั่งเป็นกรรมการบริษัทก่อนจะลาออกมารับตําแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี
ในคําให้การของบริษัทตัวแทนจําหน่ายข้าวถุงที่นําข้าวจากโรงสีผู้ปรับปรุงข้าวไปจําหน่าย ซึ่งมี 3 บริษัท ให้การรับสารภาพว่า เป็นแค่ตัวแทน (นอมินี) ไม่มีความสามารถและไม่มีประสบการณ์ในการจําหน่ายข้าวถุง เมื่อรับข้าวมาจึงได้ขายข้าวนี้กลับคืนให้โรงสีผู้รับปรับปรุงคุณภาพข้าว ประกอบด้วย เจียเม้ง, โชควรลักษณ์ และสิงโตทองไรซ์ โดยทั้ง 3 บริษัทออกเงินให้ก่อนเป็นแคชเชียร์เช็ค นําไปจ่ายค่าข้าวกับ อคส. เพื่อให้เบิกข้าวออกมา ซึ่งผู้บริหารของ บจก.คอนไซน์เทรดดิ้ง และบจก.ร่มทองได้ยืนยันด้วยวาจา และมีเอกสารยืนยันกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจสภาผู้แทนราษฎรว่า ได้กระทําการดังกล่าวจริง ส่วน บจก.สยามรักษ์ได้ยืนยันในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ว่า ได้ลงนามขายข้าวถุงให้กับโรงสีโชควรลักษณ์
คณะอนุกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์วุฒิสภา ยังพบหลักฐานอีกว่า มีข้าวถุงราคาถูกกระจายถึงมือประชาชนเพียง 1.86 แสนตัน จากทั้งหมด 2.5 ล้านตัน โดย นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อํานวยการองค์การคลังสินค้า เคยให้ข่าวกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (29 พฤศจิกายน 2556) ว่า อนุมัติให้เบิกไปเพียง 1.1 ล้านตัน ดังนั้น จะมีข้าวหายไปจากโครงการจํานวน 9 แสนตัน นอกจากนั้น คณะอนุกรรมาธิการฯ ยังพบว่า ร้านค้าที่จําหน่ายข้าวถุงในโครงการ ต้องซื้อข้าวสารในราคาที่สูงกว่าราคาที่ กขช. กําหนด 5-10 บาทต่อถุง บางร้านระบุว่าต้องเดินทางไปรับข้าวถึงคลังด้วยตนเอง
ที่ผมตัดมาอ่านกันอย่างจะแจ้งนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงานฉบับสมบูรณ์ จำนวน 218 หน้า ในตัวรายงานยังมีข้อมูลที่สมบูรณ์ น่าอ่าน น่าศึกษา และเป็นประโยชน์ต่อการ “รู้เช่นเห็นชาติ” นโยบายที่อ้างการช่วยชาวนา แต่ตลอดระยะจากต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เต็มไปด้วยผีเปรตหิวโซที่เข้ามา “ลักกินขโมยกิน” อย่างชัดเจนจนตาค้างกันเลยทีเดียว
ซึ่งสื่อที่มีสำนึกทั้งหลายควรเข้าไปอ่านและนำมาสรุป นำมาเผยแพร่ นำมาบอกกล่าวต่อประชาชน ดีกว่าเอา “โพย” แถลงปิดคดีของ “จำเลยปากแข็ง” มาเผยแพร่ด้านเดียวเป็นไหนๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี