คนไทยจำนวนไม่น้อยในยุคนี้ดูจะกลายเป็นผู้เสียสติกันไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่บังคับให้ลูกอายุ 3-4 ขวบ ต้องไปเรียนพิเศษหรือไปติว เพราะต้องการให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนอนุบาลบางแห่งที่ตนเองเชื่อว่าโด่งดังและวิเศษวิโสเสียเหลือเกิน
อันที่จริงพ่อแม่ที่มีความคิดและมีพฤติกรรมเช่นนั้นน่าจะเข้าข่ายมีปมด้อยมาตั้งแต่กำเนิดก็เป็นได้ อาจจะเป็นเพราะคิดเอาเองว่าตนนั้นมีสถานภาพทางสังคมต่ำ จึงต้องใช้ลูกของตนเป็นเครื่องประคับประคองและเชิดหน้าชูตาของตนเองให้สูงขึ้น จึงหลงคิดเอาเองว่าถ้าหากสามารถผลักดันให้ลูกเข้าโรงเรียนดังๆ ได้แล้ว ตนเองจะกลายเป็น somebodyของสังคมไปโดยปริยาย ซึ่งต้องขอบอกว่าคนที่คิดเช่นนี้น่าจะสติไม่สมประกอบ
เมื่อสังคมไทยมีพ่อแม่ที่สติไม่สมประกอบเช่นนี้เป็นจำนวนมิใช่น้อย ดังนั้นผลกรรมจึงตกอยู่กับลูกซึ่งเป็นเด็กน้อย จนน่าจะเข้าข่ายจงใจทำทารุณกรรมกับลูก แต่ครั้นจะอ้างว่าทำไป
เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือทำไปเพราะความหวังดีต่อลูก ก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่าการกระทำเหล่านั้นทำให้ลูกไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
พ่อแม่จำนวนไม่น้อยบังคับให้ลูกอายุ 2-3 ขวบท่อง A B C จนถึง Z บางรายสติเสื่อมหนักไปกว่านี้คือให้ลูกท่อง CAT แค็ท แมว DOG ด็อก หมา ANT แอ้นท์ มด แล้วยังบังคับให้ลูกที่เป็นเด็กน้อยอายุไม่ถึง 3 ขวบ ต้องนับเลข ONE TWO THREE ถึง TWENTY (ก็ยังดีที่ไม่บ้าบังคับให้ลูกน้อยนับเลขถึง HUNDRED บ้างก็บ้าบอหนักเข้าไปอีกคือพาลูกไปเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่บ้านของตัวเองนั้นมีแต่คนพูดภาษาไทย และที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นคือพ่อแม่ที่บังคับลูกให้ทำเรื่องแย่ๆ เช่นนี้นั้น บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่เอาอ่าวเลย
ครั้นเมื่อถึงวันหยุด เช่น วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังบังคับลูกให้ต้องไปเรียนดนตรี เช่น เปียโน หรือไวโอลิน เพราะเข้าใจแบบปัญญาไม่ปกติว่า การมีเปียโนตั้งอยู่ในบ้านหลังน้อยๆ หรือหลังมหึมาก็ตาม คือเครื่องยกสถานะของตน (ผู้เขียนเคยคุยกับลูกสาวของพี่ณัฐ ยนตรลักษณ์ ซึ่งน้องผู้นี้เป็นครูสอนดนตรีตะวันตกให้กับเด็กจำนวนมาก น้องเล่าให้ฟังว่าบางบ้านบังคับให้เด็กอายุน้อยมากเรียนเปียโน แล้วต้องการซื้อเปียโนไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่าเปียโนคือเครื่องแสดงฐานะทางสังคม)
เท่าที่เล่าให้ฟังมาคร่าวๆ นี้คงจะเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นแล้วว่าเด็กไทยตัวเล็กๆ อายุน้อยๆ จำนวนมากกำลังตกอยู่ภายใต้ปัญหาขั้นวิกฤติ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจจะเกิดมาจากความหวังดีแบบประสงค์ร้ายของพ่อแม่ที่ไร้ปัญญา ที่ต้องการใช้ลูกของตนเองเป็นเครื่องพยุงสถานะทางสังคมของตนให้สูงเด่นขึ้น
ขอถามจริงๆ เถอะ คนที่ทำเช่นนั้นกับลูกน้อยของตน ไม่รู้สึกสงสารหรือเห็นใจเด็กที่เป็นลูกบ้างหรือ หรือลืมคิดไปว่าเด็กก็คือเด็ก เด็กต้องการเล่นสนุกสนานตามที่เขาต้องการ เล่นสนุกตามวัย และตามพัฒนาการของเขา พ่อแม่ในฐานะผู้ปกครองควรจะต้องให้โอกาสเขาเพื่อได้เล่นอย่างสนุกสนาน โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงต่อสมองของเด็ก และต้องเป็นการเล่นที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ และช่วยพัฒนาร่างกายให้ได้ออกกำลังกายตามควรแก่วัย
แต่ก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองบางรายที่ปล่อยให้ลูกดู clip และเล่นเกมต่างๆ นานาบน Smart Phone และ Tablets และComputer Notebook ตลอดเวลา แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าลูกนั้นเลี้ยงดูง่าย ไม่ซน ไม่เล่นของเล่นอื่นๆ ไม่ถีบจักรยานเล็กๆ ไม่เล่นตัวต่อที่ทำจากไม้หรือพลาสติก ไม่วิ่ง ไม่ชอบไปนอกบ้าน เพราะวันทั้งวันเอาแต่ก้มหน้าใช้นิ้วจิ้มและรูดหน้าจอตลอดเวลา ซึ่งแบบนี้ก็เป็นการจงใจฆ่าลูกทางอ้อมด้วยความมักง่ายของตนเอง
ขอย้อนกลับไปที่เรื่องการสอบเข้าเรียนชั้นอนุบาลของเด็กไทย ซึ่งต้องขอย้ำว่าเป็นเรื่องไร้ปัญญาของสังคมไทยโดยแท้ ขอถามคุณที่เป็นพ่อแม่อีกครั้งว่าเมื่อสมัยคุณยังเป็นเด็กอายุ3-4 ขวบ นั้นคุณจำได้ไหมว่าในแต่ละวันคุณใช้ชีวิตอย่างไร คุณถูกพ่อแม่ของคุณบังคับให้ต้องเรียนหนังสือ ท่องศัพท์ ท่องสูตรคูณ เช่นนั้นหรือ คุณจึงต้องกลับมาแก้แค้นด้วยการกระทำการอันแสนจะเลวร้ายกับลูกตัวเล็กๆ ของคุณ
ขอยืนยันว่าไม่ผิดที่คุณจะหวังดีกับลูก เพราะคุณคงเชื่อว่าถ้าหากลูกสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ได้แล้ว ลูกคุณอาจจะมีอนาคตที่สดใส เป็น somebody ของสังคม แต่ก็ขอยืนยันว่าไม่มีอะไรรับรองได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเด็กที่เรียนโรงเรียนดังๆ แล้วจะเป็นคนดี มีความสุข เสมอไป
ผู้ที่เชี่ยวชาญมีความรู้ในเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก และสามารถทำให้เด็กมีความสุขในชีวิต มีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัยของเขาในแต่ละช่วงอายุ อย่างเช่น สุภาวดี หาญเมธี บอกกับผู้เขียนว่า สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องให้ความสนใจกับลูกคือการพัฒนาทักษะทางสมองให้กับลูกๆ เพราะเมื่อลูกมีทักษะทางสมองแล้วเขาจะเติบโตเป็นผู้ที่สามารถจัดการและรับมือกับภาระปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาได้อย่างดี สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสังคม และของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดการกับตัวเองได้ดี สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญคือจะเป็นคนมีความสุขในชีวิต มองโลกในแง่ดี และคิดบวกตลอดเวลา แล้วจะไม่แก้ปัญหาใดๆ ด้วยความรุนแรงหรือปราศจากเหตุผลเชิงบวก
สิ่งที่ผู้เขียนได้จากสุภาวดีคือ การที่เราบังคับให้เด็กต้องท่องจำ ท่องจำ ท่องจำ โดยที่เขาไม่พร้อมจะรับรู้ ไม่พร้อมจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยคือการยัดเยียดให้กับเด็ก เด็กที่ถูกบังคับถูกยัดเยียดจะไม่มีความสุข และจะรู้สึกต่อต้าน ดังนั้นเราจึงเห็นอยู่เสมอๆ ว่าเด็กไทยจำนวนไม่น้อยท่องๆๆๆ เพื่อให้จำๆๆๆ เพื่อเอาไปสอบให้ผ่าน เมื่อสอบผ่านไปแล้วก็ลืม
จริงๆ แล้วเด็กเล็กๆ จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลในเรื่องอาหารการกินที่ดี การพักผ่อนที่เพียงพอถูกสุขลักษณะและสุขอนามัย ได้เล่นอย่างเหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเขา และเด็กจะต้องเรียนรู้ประสบการณ์ที่ดีจากคนรอบข้าง เมื่อเด็กได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้ว เขาจะสามารถนำประสบการณ์ที่ดีเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างเหมาะสม เด็กไม่สามารถท่องจำแล้วเอาไปใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเขาได้
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะต้องอบรมเด็กเสมอคือ การสอนให้เขาเกิดความยั้งคิดและมีการไตร่ตรองที่เป็นเหตุเป็นผล ต้องแยกแยะได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเหมาะ อะไรไม่เหมาะ และต้องฝึกให้คิดว่าเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา ทั้งด้านบวกและลบ จะทำอะไรทุกครั้งต้องไตร่ตรองก่อนเสมอ มิใช่ทำด้วยความหุนหันพลันแล่นไม่ยั้งคิด ไม่ไตร่ตรอง ไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง รู้จักคิดแบบยืดหยุ่นตามสถานการณ์ และรู้จักปรับตัวเพื่อให้ชีวิตมีความสุข แต่ไม่ใช่ปรับตัวเพียงเพื่อเอาตัวรอดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และต้องสอนให้เด็กควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ และรู้จักประเมินความสามารถของตนได้ด้วย
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่กรรมวิธีหนึ่งในการอบรมเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดีมีความสุขในชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดมาจากการบังคับให้ลูกท่องจำ เพราะการท่องจำไม่มีทางทำให้เกิดสิ่งข้างต้นได้อย่างแน่นอน
ขอย้ำว่าพ่อแม่สามารถฝึกหัดและอบรมสั่งสอนลูกได้ตั้งแต่เขายังมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ แต่ต้องเป็นการสอนด้วยตัวอย่างจริงๆ สอนด้วยประสบการณ์ตรง ไม่ใช่คนสอนมีพฤติกรรมตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่สั่งสอน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เด็กๆ จะไม่มีวันทำตามคำสอนอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เด็กเห็นเป็นเรื่องตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับพฤติกรรมแท้จริงของคนสอน
เพราะฉะนั้น ขอสรุปทิ้งท้ายบทความในวันนี้ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กน้อยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะทางสมองของลูก มากกว่าการบังคับให้ลูกไปกวดวิชาหรือติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนอนุบาล ส่วนรัฐบาลก็ต้องพัฒนาโรงเรียนอนุบาลทุกแห่งให้มีคุณภาพได้มาตรฐานโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าโรงเรียนอนุบาลนั้นจะอยู่ใจกลางเมืองหลวงหรืออยู่ท่ามกลางขุนเขาที่แสนห่างไกลจากพระนคร
ขอฝากคำถามทิ้งท้ายว่า ระหว่างการดูแลอบรมลูกของเราด้วยตัวของเราเอง กับการรอพึ่งรัฐบาล คุณจะเลือกสิ่งใด แต่โปรดอย่าลืมว่าเขาคือลูกของคุณ และขอร้องว่าได้โปรดล้มเลิกระบบสอบเข้าเรียนอนุบาลเสียเถอะ โปรดเห็นแก่ความสุขของเด็กไทยด้วยเถิด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี